ธีรดา กิตติศิริประเสริฐ : ถึงกลัวแค่ไหน…แต่ใจสู้!

“ถามว่ากลัวมะเร็งไหม กลัวนะ
ทุกวันนี้ก็ยังกลัวอยู่ ยิ่งช่วงไหนที่ได้รับรู้
ข่าวคนรู้จักเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง
เราปฏิเสธความกลัวที่เข้ามาไม่ได้จริงๆ
แต่ถึงจะกลัวอย่างไร เราก็ต้องสู้!” 

วานวาน-ธีรดา กิตติศิริประเสริฐ อดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิด Luminal B ระยะ 2 วัย 39 ปี นักแสดงและสตันต์หญิงดีกรีมหาบัณฑิตปริญญาโท คณะโบราณคดี จากรั้วมหาวิทยาลัยศิลปากร เจ้าของผลงานมากมายทั้งโฆษณาไทยและเทศ รวมถึงภาพยนตร์หลากหลายเรื่อง โดยหนึ่งในนั้นก็คือ ‘ต้มยำกุ้ง 2’ ที่หลายคนน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาเธอในบทบาท ‘ซือซือ’ ฝาแฝดของจีจ้า ญาณิน นอกจากนี้เธอยังเป็นผู้ชนะเลิศจากรายการเรียลิตี้โชว์ ‘Martial Warrior’ ชิงฝัน แอ็กชั่นสตาร์ ทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้ง ‘Believe Martial Arts Academy’ สถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ขึ้นที่บ้านเกิดจังหวัดอุดรธานี โดยเธอทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจฝึกสอนบรรดาลูกศิษย์ด้วยตัวเองอย่างเต็มกำลังความสามารถ

“สตันต์เป็นอาชีพในฝัน ด้วยความที่เราชื่นชอบศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก และเริ่มเรียนเทควันโดมาตั้งแต่อายุ 12 ปี ก่อนจะมาต่อยอดไปที่กีฬาอื่นๆ เช่น มวยไทย ยูโด ฯลฯ บวกกับความที่เป็นคนชอบดูหนังแอ็กชั่น ไม่ว่าจะเป็นหนังของพี่จา พนม เฉินหลง และยิ่งได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง ‘ช็อกโกแลต’ ก็ยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เราเชื่อว่า ผู้หญิงก็สามารถแสดงหนังแอ็กชั่นได้ไม่แพ้ผู้ชาย จึงตัดสินใจเดินทางมากรุงเทพฯ และสมัครงานเป็นสตันต์ตามบริษัทต่างๆ ที่ผลิตภาพยนตร์ จนในที่สุดก็ได้ทำงานสตันต์ตามที่ตั้งใจเกือบสิบปี ก่อนจะกลับมาเปิดสถาบันสอนศิลปะป้องกันตัวที่บ้านควบคู่ไปด้วย ซึ่งปีนี้ Believe Martial Arts Academy ก็ย่างเข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว”  

มะเร็งกับทางที่เลือกไม่ได้

“ด้วยความที่เราเป็นคนออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้ว และไม่ใช่เป็นคนที่ชอบกินอาหารปิ้งย่างหรือของหวานอะไรมากมาย ที่สำคัญไม่เคยมีใครในครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งมาก่อน ทำให้เรารู้สึกว่ามะเร็งเป็นเรื่องไกลตัวมาก ไม่เคยเตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับโรคนี้มาก่อนเลย จนเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2565 เราบังเอิญคลำเจอก้อนขนาดเท่าหัวแม่มือที่หน้าอกด้านขวา ตอนนั้นตกใจมาก เพราะก่อนหน้านี้เราก็เคยคลำเจอก้อนนี้มาแล้ว แต่เข้าใจว่าเป็นอาการอักเสบจากอุบัติเหตุเตะพลาดเป้าที่ลูกศิษย์เตะมาโดนเรา จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร

“เวลาผ่านไป 3-4 เดือน ก้อนนั้นยังมีอาการเจ็บทุกครั้งที่มือไปโดน ที่สำคัญก้อนยังขยายขนาดใหญ่กว่าเดิมมาก จึงตัดสินใจไปตรวจร่างกาย หลังจากคุณหมอตรวจแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์แล้วก็เปรยๆ กับเราว่า ‘ลักษณะก้อนนี้เหมือนมะเร็งมาก’ แต่คุณหมอก็ยังไม่ฟันธง และนัดให้เราเข้ามาฟังผลอีกทีกับคุณหมอเฉพาะทางอีกท่านในวันรุ่งขึ้น 

“จำได้ว่าวันนั้นระหว่างที่ขับรถกลับบ้าน เราร้องไห้ไปตลอดทาง ยิ่งไปถึงบ้านก็ยิ่งร้องหนัก พอตกกลางคืนก็ยังนอนร้องไห้ไม่หยุด ด้วยความที่ตอนนั้นเรามีความเชื่อว่า มะเร็งเท่ากับตาย ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเองกำลังจะตาย ต้องตายแน่ๆ คงอยู่ได้อีกไม่นานหรอก 

“วันรุ่งขึ้น หลังจากสอนเด็กๆ เสร็จก็รีบไปโรงพยาบาลอีกครั้ง พอหมอเฉพาะทางเห็นฟิล์มก็บอกว่า ถ้าจะให้ได้ผลที่แน่ชัด จำเป็นต้องเจาะชิ้นเนื้อส่งตรวจ วันนั้นเราจึงตัดสินใจเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ โดยระหว่างที่เจาะชิ้นเนื้อนั้น คุณหมอก็ย้ำในทำนองเดียวกับคุณหมอคนแรกว่า ‘ลักษณะก้อนเหมือนมะเร็งเลยนะ’ น้ำตาเราก็ไหลอีกครั้ง ความรู้สึกทั้งช็อก ทั้งกลัว ทั้งเสียใจปนเปอยู่ในหัว

“หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ผลชิ้นเนื้อก็ออกมา โดยประโยคแรกๆ ที่คุณหมอพูดออกมาก็คือ ‘นี่ไง! เป็นมะเร็งจริงๆ ด้วย’ จากที่เราใจคอไม่ดีอยู่แล้ว พอได้ยินคำพูดคุณหมออย่างนี้ ก็ยิ่งรู้สึกเฟลหนักขึ้น และพอปรึกษาถึงเรื่องการผ่าตัดว่า เราจะสามารถผ่าตัดแบบไหนได้บ้าง คำตอบเดียวที่คุณหมอให้ก็คือ ตัดทิ้งเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่า เพราะก้อนมะเร็งอยู่ใกล้หัวนม ก็ทำให้เรารู้สึกว่า ทำไมไม่มีทางเลือกให้เราเลย”

ออกเดินทางตามหา ‘โอกาส’

“ยอมรับว่าตอนนั้นเริ่มหมดหวังและไม่อยากรักษากับคุณหมอท่านนี้แล้ว เพราะเรารู้สึกว่า ทำไมเป็นมะเร็งแล้วยังต้องสูญเสียอวัยวะอีก จึงกลับมาปรึกษาครอบครัว ทั้งพ่อแม่และน้องสาวก็แนะนำว่าให้ลองไปรักษาที่กรุงเทพฯ ดีไหม จึงตัดสินใจหอบผลตรวจแมมโมแกรม อัลตราซาวนด์ รวมถึงผลตรวจชิ้นเนื้อ เดินทางมากรุงเทพฯ และมุ่งตรงไปที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย พร้อมชื่อและนามสกุลคุณหมอซึ่งเพื่อนเคยเล่าให้ฟังว่า พี่สาวของเขาก็เป็นมะเร็งเต้านม และมาผ่าตัดรักษาพร้อมเสริมสร้างเต้านมด้วยซิลิโคนกับคุณหมอท่านนี้ 

“ครั้งแรกที่พบคุณหมอ ท่านก็แนะนำว่าควรผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมดเช่นกัน แต่ท่านก็ยังเสนออีกหนึ่งทางเลือก คือหากไม่อยากตัดเต้าทิ้ง ก็อาจจะลองให้คีโมก่อน หากก้อนมะเร็งยุบลงก็สามารถผ่าตัดแบบสงวนเต้าได้ แต่ในกรณีที่ก้อนมะเร็งไม่ยุบ ก็จำเป็นต้องกลับมาผ่าตัดเต้านมออกทั้งหมดเหมือนเดิม 

“วันนั้นคุณหมอจึงขอเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจอีกครั้ง เนื่องจากผลตรวจชิ้นเนื้อที่เรานำติดมือมา ไม่มีการตรวจว่าเราเป็นมะเร็งชนิดไหน ทำให้คุณหมอไม่รู้ว่าจะให้คีโมอย่างไรดี โดยท่านนัดให้กลับมาฟังผลอีกครั้งใน 2 สัปดาห์ถัดมา” 

รักษากาย แต่ใจว้าวุ่น 

“ระหว่างที่รอผลชิ้นเนื้อนั้น ด้วยความที่เราไม่มีความรู้เรื่องคีโมเลย บวกกับความกลัวไปต่างๆ นานา และกลัวที่สุดก็คือกลัวว่ามะเร็งจะลุกลามไปที่อวัยวะอื่นก่อนจะได้ผ่าตัด จำได้ว่ารอผลแค่ 1 สัปดาห์ เราก็กลับไปหาคุณหมอท่านนี้อีกครั้ง และบอกท่านว่าไม่ขอรอผลชิ้นเนื้อและให้คีโมแล้ว แต่จะขอเข้าสู่กระบวนการผ่าตัดออกทั้งเต้าเลย เพราะกลัวมะเร็งจะลุกลาม

“โชคดีที่วันนั้นคุณหมอดูเคสอย่างละเอียด และแจ้งว่าเคสของเรานั้นสามารถผ่าตัดออกทั้งเต้า แล้วเสริมสร้างหน้าอกด้วยซิลิโคนได้ในคราวเดียวกันเลย นั่นเองทำให้เราตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการผ่าตัดในวันที่ 5 กันยายน 2565 และโชคดีที่การผ่าตัดผ่านไปอย่างราบรื่น ยิ่งไปกว่านั้นคือผลตรวจต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ด้านขวาที่คุณหมอขอผ่าตัดออกไป 5 ต่อม เพื่อตรวจการลุกลามของมะเร็ง พบว่ายังไม่มีการลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง ทำให้มะเร็งที่เราเป็นอยู่ในระยะ 2 เท่านั้น

“แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องกังวลอีกเรื่อง ก็คือการขยับร่างกายที่ไม่เหมือนเดิม ด้วยความที่เราผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ออกไป ทำให้ในระยะแรกๆ เรายืดแขนได้ค่อนข้างลำบาก แค่ยกแขนขึ้นก็เจ็บมาก สารภาพเลยว่า กลัว…กลัวว่าจะกลับมาสอนเด็กๆ ไม่ได้ เพราะการเป็นครูสอนศิลปะป้องกันตัวนั้น มันไม่ใช่แค่สอนให้เด็กๆ ทำตาม แต่เราต้องคอยเป็นเป้าล่อให้เขาได้ฝึก และที่สำคัญคือต้องคอยเซฟเด็กๆ ไม่ให้เขาได้รับอันตรายจากการฝึกด้วย หากการขยับร่างกายของเราไม่คล่องตัวเหมือนเดิม เราอาจจะต้องทิ้งอาชีพนี้ไปเลยก็ว่าได้ แต่แล้วทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี”

ผ่านด่านคีโมหฤโหด

“หลังผ่าตัด 1 เดือน เราก็กลับมารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี เพื่อจะได้อยู่ใกล้ๆ ครอบครัว และตั้งใจว่าจะเปิดสอนเด็กๆ ไปด้วย เนื่องจากเราพักฟื้นหลังผ่าตัดไปกว่า 1 เดือนเต็ม จึงเริ่มคิดถึงเด็กๆ แต่เปิดสอนได้เพียง 2 วันหลังจากการให้คีโมเข็มแรก ก็มีเหตุให้ต้องหยุดการเรียนการสอนยาวอย่างไม่มีกำหนด เพราะเราเกิดอาการทรุด หายใจไม่ออก มึนหัว ยืนไม่ไหว อยากอาเจียน ฯลฯ จนน้องสาวต้องนำตัวเราส่งโรงพยาบาลตอนตี 3 

“หลังจากคุณหมอตรวจเช็กอย่างละเอียดก็พบว่า ร่างกายของเราเกิดการติดเชื้อ ด้วยความที่เราเพิ่งให้คีโมมา เม็ดเลือดขาวยังต่ำ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต่ำไปด้วย จึงติดเชื้อได้ง่าย หมอจึงฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ และแนะนำว่าให้พักการสอนไปก่อนจนกว่าจะให้คีโมครบ นั่นเองที่เป็นเหตุผลให้ Believe Martial Arts Academy หยุดพักไปนานหลายเดือน เพราะตามแผนการรักษาเราต้องให้คีโม 4 เข็ม และฉายแสงต่ออีก 20 ครั้ง 

“ตอนนั้นห่วงตัวเองก็ห่วง ห่วงลูกศิษย์ก็ห่วง แต่ที่ห่วงที่สุดก็คือห่วงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เพราะเราจะต้องจ่ายเองเกือบทั้งหมด เนื่องจากประกันสุขภาพที่ทำไว้ใช้ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เช่น ค่าผ่าตัด แต่ค่ารักษาระหว่างให้คีโม เช่น ผลข้างเคียงจากคีโม ฯลฯ เราต้องออกเอง รวมถึงค่าคีโม จากเดิมที่คิดว่าจะใช้สิทธิ์ประกัน 30 บาท รักษาทุกโรค ปรากฏว่าสูตรคีโมนั้นไม่เหมาะกับเรา เพราะมีผลข้างเคียงที่อาจจะทำให้เราเป็นโรคหัวใจได้ในอนาคต จึงจำเป็นต้องจ่ายค่าคีโมเองประมาณ 3,999 บาทต่อเข็ม เพื่อให้ได้สูตรยาที่ไม่มีผลข้างเคียงกับหัวใจนั่นเอง 

“ถึงแม้จะได้สูตรยาที่ไม่มีผลข้างเคียงต่อหัวใจ แต่ก็ยังมีผลข้างเคียงอื่นๆ ตามมาอย่างสาหัสทีเดียว ทำให้การให้คีโมทุกเข็มของเราจะต้องจบด้วยการแอดมิตโรงพยาบาลทุกครั้ง เช่น เข็มที่ 2 ทางโรงพยาบาลถึงขั้นต้องให้เลือด 1 ถุง ก่อนกลับบ้าน เนื่องจากเกล็ดเลือดต่ำ ส่วนเข็มที่ 3 เกิดอาการหายใจไม่ออก หอบ หน้าแดงระหว่างให้คีโมเลย จนพยาบาลต้องให้ออกซิเจนและพักการให้คีโมไป 1 ชั่วโมง ก่อนจะกลับมาให้ต่ออีกครั้ง  

“อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากเม็ดเลือดขาวที่ต่ำมาก ไม่ว่าจะพยายามกินอย่างไร ค่าเลือดก็ไม่ขึ้น ทำให้เวลาไปให้คีโม คุณหมอก็จะบ่นตลอดเพราะค่าเลือดเราอยู่ในระดับต่ำ เรียกว่าเฉียดฉิวเกือบจะให้คีโมไม่ได้ จนเข็มสุดท้ายคุณหมอต้องไล่กลับบ้านมากินให้ค่าเลือดขึ้นก่อน ทำให้คีโมเข็มสุดท้ายถูกเลื่อนออกไปหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจะจบการให้คีโมในเดือนธันวาคม 2565 และฉายแสงต่ออีก 20 ครั้ง โดยจบการฉายแสงในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 รวมระยะเวลาในการรักษาทั้งหมดกว่า 6 เดือนเต็ม”

ท้อได้…แต่ถอยไม่ได้  

“ถามว่าท้อไหม บอกเลยว่า ท้อทุกเข็ม คิดจะหยุดการรักษาหลายต่อหลายครั้ง แต่พอมานั่งนึกทบทวนอีกทีก็รู้สึกว่า อุตส่าห์ผ่านมาได้ครึ่งทางแล้ว อีกนิดเดียว คนอื่นเขายังผ่านไปได้เลย เราก็ต้องผ่านไปให้ได้ เราจึงกัดฟันอดทนมาจนถึงเข็มสุดท้าย 

“ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณกำลังใจจากครอบครัว พ่อแม่ น้องสาว และญาติสนิทมิตรสหายทุกคนที่กระหน่ำส่งกำลังใจมาให้ไม่เคยขาด แม้แต่คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อย่างคนขับรถแท็กซี่ไปส่งเราที่โรงพยาบาลจุฬาฯ พอรู้ว่าเรามารักษามะเร็งเต้านมก็ให้กำลังใจเรา พร้อมบอกว่า ‘มะเร็งเต้านมเดี๋ยวนี้ไม่น่ากลัวหรอก ญาติผมก็เป็น รักษาหายแล้ว ทุกวันนี้ก็ใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนคนทั่วไป’ 

“และอีกหนึ่งกำลังใจสำคัญที่ลืมไม่ได้เลยก็คือเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งอยู่ที่ภูเก็ต เขาแนะนำหนังสือให้เราอ่าน 2 เล่ม คือ เราจะข้ามเวลามาพบกัน (Only Love is Real) และ ความหมายของการมีชีวิต (Messages from the Masters) ซึ่งเป็นผลงานเขียนของ ดร.ไบรอัน ไวส์ (Brian L. Weiss, M.D.) จิตแพทย์ นักสะกดจิต และนักเขียนชาวอเมริกัน ที่พูดถึงการกลับชาติมาเกิดและความเชื่อที่ว่าการตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด ซึ่งหลังจากได้อ่านแล้วก็ทำให้เรารู้สึกสบายใจขึ้น เนื่องจากตอนนั้นเรากลัวการพลัดพรากจากคนที่เรารักมาก นอกจากนี้ เพื่อนก็ยังส่งคลิปวิธีฝึก ‘สมาธิจักระ’ เพื่อการไหลเวียนของพลังงานในร่างกายที่สมดุล ทำให้ทุกๆ วันเราหันมาจดจ่อกับการฝึกสมาธิแทนที่จะคิดมากหรือฟุ้งซ่านอยู่กับตัวโรคและอาการเจ็บป่วย

“ทั้งหมดนี้ทำให้เราก้าวข้ามความเจ็บป่วยครั้งนี้มาจนได้เรียนรู้ว่า มะเร็งเต้านมไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด  แต่ก็ไม่ใช่โรคที่เราควรจะประมาท เพราะมะเร็งเป็นโรคที่กลับมาเป็นซ้ำได้เสมอ ฉะนั้น หลังจบการรักษาแล้ว ผู้ป่วยทุกคนควรเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตและการกินที่เคยผิดพลาดมาก่อน เพื่อให้ร่างกายกลับมาสมดุลดังเดิม อย่างตัววานเอง ถึงจะเป็นคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำและไม่ได้มีไลฟ์สไตล์ที่ทำลายสุขภาพ แต่เรื่องการกินที่เรารู้สึกว่าน่าจะมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งก็คือเราชอบกินอาหารแปรรูปอย่างไส้กรอกและกุนเชียงมาก ทุกวันนี้ก็พยายามปรับเปลี่ยน หันมากินผักและไข่ทุกวัน และเลี่ยงอาหารแปรรูปทุกอย่าง จะมีบ้างนานๆ ทีที่กินชิ้นหรือสองชิ้นให้พอรู้รส หายอยาก”

เพื่อน…อีกหนึ่งกำลังใจสำคัญ

‘ข่าวร้าย’ ที่ต้องผ่านไปด้วยกัน

“ระหว่างที่รักษาตัวอยู่นั้น แม่ก็มาบอกว่าแม่มีแผลที่เต้านมซึ่งรักษาไม่หายมากว่า 5 ปีแล้ว ตอนนั้นก็ตกใจเหมือนกัน พยายามบอกให้แม่ไปตรวจ แต่แม่ก็ไม่ยอมไป จนกระทั่งเราให้คีโมจนจบ 4 เข็ม แม่จึงยอมไปตรวจ และผลปรากฏว่าแม่เป็นมะเร็งเต้านมชนิด HER2 ระยะ 1 ซึ่งแม่ก็ตัดสินใจผ่าตัดเต้านมทิ้งทั้งหมด ก่อนจะให้คีโม 12 เข็ม และต่อด้วยยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) อีก 12 เข็ม โดยปัจจุบันแม่ยังอยู่ระหว่างการให้ยามุ่งเป้าอีก 4 เข็ม ขณะที่เราเองก็ต้องกินยาต้านฮอร์โมนต่ออีก 5 ปี จากที่แม่เคยให้กำลังใจเรา ตอนนี้เราก็ต้องเป็นกำลังใจให้แม่ และคอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน จับมือกันสู้ไป 

“มะเร็งครั้งนี้เข้ามาเตือนสติเราว่า ชีวิตคนเรานั้นไม่ได้ยาวไกล เราควรใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าและมีความสุขให้ได้มากที่สุด จากเดิมที่เรามัวแต่วิ่งตามความฝัน มุ่งมั่นทำงานเพื่อความสำเร็จ จนหลายๆ ครั้งเราก็หลงลืมให้เวลากับตัวเอง ลืมไปว่าร่างกายของเราก็ต้องการการพักผ่อน วันนี้ก็เริ่มกลับมาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ใส่ใจตัวเองมากขึ้น ออกเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น มีความสุขในทุกๆ วันที่ยังเหลืออยู่ให้ได้มากที่สุด” 

.

#มะเร็งเต้านมรู้เร็วรักษาเร็วก็หายได้
#เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป
#TBCCLifegoeson
#ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย

แชร์ไปยัง
Scroll to Top