“วันนี้เรารู้สึกโชคดีด้วยซ้ำที่เจอมะเร็ง
มะเร็งทำให้หลายสิ่งหลายอย่าง
ในชีวิตเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต
ความคิด มุมมอง รวมถึงความสุข
เรามองเห็นความสุขจากสิ่งเล็กๆ
รอบตัวมากมาย โดยไม่ต้องออกไล่ล่าเหมือนแต่ก่อน”
ริน-พชร ปัจจัยโคถา อดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมวัย 45 ปี ที่เพิ่งจบการรักษามาหมาดๆ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวคนเก่ง ผู้บริหารหญิงแกร่งแห่งเพาเวอร์ แทรค บริษัทรับเหมาที่ผ่านการเป็นซับคอนแทร็กให้องค์กรระดับประเทศมามากมาย และยังเป็นเจ้าของ ‘พชรฟาร์ม’ ศูนย์การเรียนรู้และเพาะพันธุ์กวางเชิงพาณิชย์แห่งแรกและแห่งเดียวในจังหวัดสระแก้ว
“เมื่อก่อนเป้าหมายชีวิตของเราคือความสำเร็จ ความมั่งคั่ง มั่นคง เราจึงใช้ชีวิตแบบฮาร์ดคอร์มากๆ ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองและครอบครัวก้าวไปสู่จุดที่ทุกคนเรียกว่าความสำเร็จ เราดูแลงานก่อสร้างใหญ่ๆ ระดับประเทศ ต้องคอยคุมลูกน้องนับร้อยชีวิต ชีวิตส่วนใหญ่ของเราจึงต้องอยู่หน้าไซต์งาน บ่อยครั้งก็ต้องทำงานไปถึงตีหนึ่ง ตีสอง บางทีลากยาวไปถึงตีสาม ตีสี่ก็มี และร้านสะดวกซื้อคือแหล่งฝากท้องหลักของเราเลยก็ว่าได้
“จนปลายปี 2564 เรามีโอกาสกลับมาที่สระแก้ว ก็ได้ไปเจอเพื่อนเก่าคนหนึ่ง เขาก็เล่าให้ฟังว่าเพิ่งไปผ่าตัดซีสต์ที่เต้านมมา ตอนนั้นก็เริ่มคิดถึงตัวเอง เพราะที่เต้านมข้างซ้ายของเราก็มีก้อนอยู่เหมือนกัน แต่เป็นก้อนที่อยู่มานานมากแล้ว จนจำไม่ได้ว่าเมื่อไร และก็ไม่เคยแสดงอาการอะไร ผิวหนังบริเวณนั้นก็ดูปกติ เราจึงคิดว่ามันคงเป็นแค่ไตนม ไม่อันตรายอะไร
“กระทั่งกลับมาทำงาน ด้วยความที่เป็นคนชอบนวดสปา ปกติทุกๆ เดือนเราก็จะไปนวดกับหมอนวดประจำตัว ซึ่งเดือนนั้นเขาก็ทักเราว่า เหมือนก้อนที่หน้าอกจะใหญ่ขึ้นนะ เราก็ไม่รอช้า รีบไปหาหมอตรวจอัลตราซาวนด์ แมมโมแกรมทันที แต่พอผลออกมาหมอก็ไม่ได้ฟันธงว่าเป็นก้อนอะไร ด้วยความที่ลักษณะของก้อนไม่ชัดเจน หมอจึงไม่ได้แนะนำให้เจาะชิ้นเนื้อหรือผ่าตัดออก แต่ด้วยความที่ขนาดก้อนใหญ่กว่า 5 เซนติเมตร เราก็เริ่มกังวลว่าจะเป็นมะเร็งหรือเปล่า จึงตัดสินใจเอาผลตรวจทั้งหมดไปให้หมอที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งช่วยดู และขอเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจให้รู้แน่ไปเลยว่าเป็นหรือไม่เป็น ผลปรากฏว่าเป็นมะเร็งจริงๆ ตอนนั้นอยู่ระยะ 2 กำลังจะขึ้นระยะ 3
“พอรู้ว่าเป็นมะเร็ง ก็เช็กสิทธิ์ประกันสุขภาพที่เคยทำไว้ ดันขาดพอดี ตอนนั้นก็คิดแล้วว่าหากเรารักษาในโรงพยาบาลเอกชน เงินล้านก็คงเอาไม่อยู่แน่ๆ จึงเริ่มหาข้อมูลโดยคุยกับเพื่อนๆ หลายคนในกลุ่มมะเร็ง เราพบว่าไม่ว่าจะเป็นการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน หรือโรงพยาบาลรัฐบาล หรือแม้กระทั่งใช้สิทธิ์บัตร 30 บาท ตัวยาหรือกระบวนการรักษาหลักๆ นั้นแทบไม่ได้ต่างกัน เราจึงตัดสินใจรักษาโดยใช้สิทธิ์ 30 บาท แต่ก็สำรองเงินไว้ส่วนหนึ่งสำหรับการรักษาหรือตัวยาอื่นๆ ที่คุณหมอแนะนำว่าดีกว่า แต่อยู่นอกเหนือสิทธิ์ 30 บาท”
โชคดีที่ไม่ (ยอม) แพ้
“หลังจากทำเรื่องส่งตัวมารับการรักษาในโรงพยาบาลรัฐตามสิทธิ์ 30 บาท การรักษาเริ่มต้นขึ้นด้วยการผ่าตัดและเสริมสร้างเต้านมใหม่ โดยใช้ไขมันหน้าท้องพร้อมใส่ตาข่ายพยุงเต้านมในคราวเดียวกันเลย โดยทั้งหมดคุณหมอได้คุยกับเราไว้ก่อนหน้าที่จะเข้าห้องผ่าตัดแล้ว พร้อมคุณหมอยังขอฉีดสีเพื่อดูว่ามะเร็งลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองหรือเปล่า และถ้าลุกลามไปแล้ว คุณหมอก็จะขอเลาะต่อมน้ำเหลืองออกเลย ซึ่งเราก็ยินยอมทุกอย่าง และโชคยังดีมากที่มะเร็งยังไม่ลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง จึงไม่ต้องเลาะต่อมน้ำเหลืองออก
“หลังการผ่าตัด เราพักฟื้นอยู่ประมาณหนึ่งเดือน ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการให้คีโมบำบัด 8 เข็ม โดยเข็มแรกนั้นเป็นคีโมสูตรน้ำขาวเพื่อปรับร่างกายก่อน และหลังจากนั้นจะเป็นคีโมสูตรน้ำแดงทั้งหมด ด้วยความตื่นกลัวอาการข้างเคียงจากคีโมเป็นทุนเดิม ทำให้เราเตรียมตัวทุกอย่าง โดยเฉพาะการกิน เรากินอาหารที่มีประโยชน์ โดยเน้นไปที่โปรตีนเป็นหลัก เรียกว่าบำรุงตัวเองเต็มที่ก่อนการให้คีโม
“พอวันที่ให้คีโมเข็มแรก ปรากฏว่าไม่มีอาการแพ้ใดๆ เลย ไม่อาเจียน ไม่ท้องเสีย มีแค่ท้องผูกและนอนไม่หลับบ้างเท่านั้น และเราก็ยังคงกินเพื่อบำรุงตัวเองอย่างเต็มที่ในทุกๆ เข็ม ถึงแม้จะมีอาการเบื่ออาหารบ้าง เริ่มกินไม่อร่อย ไม่มีรสชาติ ก็ยังคงพยายามกิน กิน กินให้ได้ จนกระทั่งจบคีโมเข็มที่ 8 ตอนนั้นน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากว่า 10 กิโลกรัม (หัวเราะ) คือ ถ้าผมไม่ร่วง เล็บไม่ดำ คงไม่มีใครรู้ว่าป่วยแน่นอน จากนั้นก็ถึงขั้นตอนการรักษาด้วยการฉายแสงต่ออีก 25 ครั้ง ก็เป็นอันจบการรักษา”
“หลังจบการรักษาคุณหมอนัดติดตามผลอีก 3 เดือนถัดมา ปรากฏว่าดันไปเจอจุดเล็กๆ บริเวณที่ผ่าตัด และด้วยความที่เพิ่งผ่านการฉายแสงมา คุณหมอจึงไม่อยากให้เจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ เพราะกลัวแผลจะอักเสบ จึงแนะนำให้รอดูอาการ โอ้โห ตอนนั้นกลับมาจิตตกอีกครั้ง และคิดว่าเป็นไงเป็นกัน ขอคุณหมอว่าเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจเลยดีกว่า เพราะเราไม่อยากมานั่งกังวลอีกแล้ว และเรารู้สึกว่า ถ้าแผลอักเสบก็ยังกินยารักษาได้ แต่ถ้าเป็นมะเร็งแล้วปล่อยไว้ คงไม่ดีแน่
“กลัวก็กลัวนะ แต่ก็พร้อมชนเต็มที่ ถ้าผลว่าเป็นมะเร็งก็จะเข้าสู่การรักษาเลย หรือหากโชคดี…ไม่เป็น เราก็จะได้ไปทำอย่างอื่นต่อไป ไม่ต้องนั่งจิตตกรอให้เกิดอาการ ซึ่งโชคดีมากที่หลังเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ ผลออกมาว่าจุดเล็กๆ ที่พบนั้นเป็นแค่จุดฝ้าของพังพืด…ไม่ใช่มะเร็ง”
โชคดีที่เด็ดเดี่ยว
“ที่ผ่านมาเราจะใช้ชีวิตแบบที่จะไม่รอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยมานั่งแก้ทีหลังเลย ทุกอย่างจะถูกวางแผนไว้หมด อะไรที่จะเป็นปัญหาในอนาคต เราจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลมหมด แต่สำหรับมะเร็งครั้งนี้มันเหมือนเป็นเรื่องสุดวิสัยที่ไม่เคยอยู่ในแผนชีวิตเราเลย เราคิดมาตลอดว่ามะเร็งเป็นเรื่องไกลตัวมากกกก…ถึงมากที่สุด เพราะครอบครัวไม่มีประวัติเคยเป็นมะเร็งมาก่อน เราจึงไม่เคยคิดเลยว่าเราจะเป็นมะเร็ง เชื่อไหมว่าในวันที่ไปตรวจเต้านมครั้งแรก ยังมั่นใจว่าก็คงไม่เจอหรอก อย่างมากก็คงเป็นแค่ซีสต์ แต่สุดท้ายมันกลับกลายเป็นมะเร็งจนได้ แม้ในใจตอนนั้นจะเต็มไปด้วยกลัวและคำถามว่า ทำไมต้องเป็นเรา!?! ทำไมเราโชคร้ายจังเลย!?! แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มันก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจัดการแก้ไขให้ดีที่สุดและผ่านมันไปให้ได้
“นอกจากข้อมูลที่มากพอและการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่ลังเลแล้ว การวางแผนที่ดีก็เป็นอีกสิ่งสำคัญในการก้าวข้ามมะเร็งครั้งนี้ ด้วยความที่เราไม่มีคู่คิด เราจำเป็นต้องวางแผนให้รอบคอบในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจหรือการรักษาตัว ฯลฯ
“อย่างรินเองต้องขับรถไปคีโมและฉายแสงเองคนเดียว สิ่งที่เราจะไม่ทำเลย คือ การขับรถกระหืดกระหอบไปในวันที่หมอนัดคีโม แบบตื่นตีสามตีสี่ แล้วรีบเร่งไปจนทำให้ตัวเราเครียด เผลอๆ ผลความดันหรือค่าเลือดอาจจะไม่ผ่าน…วิธีนี้จะไม่ทำเลย
“แต่เราจะใช้วิธีจองโรงแรมใกล้ๆ โรงพยาบาลล่วงหน้าก่อน 1 คืน เพื่อนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ พอรุ่งเช้าก็ไปโรงพยาบาลแบบชิลล์ๆ ไม่ต้องเครียด หลังจากให้คีโมแล้ว หากรู้สึกว่าร่างกายยังไม่พร้อม ก็จะพักก่อนเดินทางกลับ แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยที่จะเดินทางไม่ได้ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการเตรียมความพร้อมให้ร่างกายอย่างเต็มที่ก่อนมาให้คีโม
“ยิ่งไปกว่านั้น การที่เราต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยขึ้น มีโอกาสพูดคุยกับผู้ป่วยด้วยกันมากขึ้น ทำให้เราได้รู้ว่าจริงๆ แล้วมีคนที่เป็นมะเร็งเยอะมากกกก… บางคนเป็นมะเร็งลุกลามไปอวัยวะต่างๆ บางคนกว่าจะรู้ตัวก็ระยะสี่แล้ว นั่นทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองยังโชคดีกว่าอีกหลายๆ คนที่ได้เจอมะเร็งไว และมีโอกาสที่จะรักษาได้ โชคดีที่สุดก็คือเราสามารถผ่านกระบวนการรักษามาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก”
โชคดีที่เป็นมะเร็ง
“เมื่อก่อนเราคิดว่ามะเร็งเท่ากับตาย ใครเป็นมะเร็งก็คือตายแน่! และวันที่เรารู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง เราก็คิดไปก่อนเลยว่าเราจะตายในอีกไม่ช้า เรารู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายมากที่เป็นมะเร็ง แต่วันนี้มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว เรารู้สึกว่ามะเร็งคือความโชคดีที่เข้ามาในชีวิต มะเร็งทำให้เราปรับเปลี่ยนมุมมอง ความคิด กระทั่งวิถีชีวิต ถ้ามะเร็งไม่เข้ามา วันนี้เราก็คงเอาแต่วิ่งไล่ล่าความสำเร็จอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“เราผูกความสุขไว้กับความสำเร็จ ถ้าสำเร็จจึงจะมีความสุข แต่เมื่อมะเร็งเข้ามา ทำให้เราได้หยุดทบทวนชีวิต และทำให้เราได้เห็นว่าจริงๆ ความสุขอยู่รอบตัวเรา เราสามารถมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ ได้ทุกวัน ที่สำคัญเราสามารถเติมความสุขให้คนอื่นได้ เราได้เห็นว่าความสุขที่แท้จริงของชีวิตคืออะไร คุณค่าของการมีชีวิตอยู่นั้นคืออะไร เราไม่ได้คิดถึงแต่ตัวเองอย่างเดียวอีกแล้ว แต่เราคิดถึงคนอื่นมากขึ้น
“ลมหายใจที่เหลือหลังจากผ่านมะเร็งมาแล้ว มันคือกำไรชีวิต และเราอยากใช้ให้มันเกิดประโยชน์สูงที่สุด อยากทำประโยชน์ให้คนอื่นมากขึ้น อยากช่วยเหลือคนอื่นมากขึ้น อยากใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีคุณค่าที่สุด แม้จะรู้ดีว่าวันหนึ่งมะเร็งอาจจะกลับมา แต่ในเมื่อเรายังมีลมหายใจ เรายังทำอะไรได้อีกมากมาย อย่ามัวมานั่งซังกะตายแล้วปล่อยให้มะเร็งปิดกั้นความสุข-สำเร็จในชีวิตเราเลย เป็นมะเร็งก็มีความสุขได้ เป็นมะเร็งก็สำเร็จได้…ในแบบของเราเอง”
ใช้ความกลัวเป็นพลัง
“เชื่อสิว่าไม่มีใครไม่กลัวตายหรอก มันกลัวตายกันทุกคนแหละ และถึงจะกลัวอย่างไร เราก็ต้องตายกันทุกคน–ไม่มีใครหนีพ้น เพียงแต่วันนี้เรายังไม่ตายไง เมื่อยังไม่ตายก็ต้องสู้ต่อ! เผชิญหน้ากับความกลัว ยิ่งกลัว เราต้องยิ่งเดินหน้าชน กลัวแล้วอย่าหนี เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไร
“เราจึงอยากบอกกับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเคยเป็นมะเร็งหรือไม่ก็ตาม อยากให้ตระหนก ตื่นกลัวมะเร็งเข้าไว้ เพราะไม่รู้ว่ามันจะแวะเวียนมาเมื่อไร ถ้าเกิดความผิดปกติในร่างกาย ตระหนกไว้ก่อน ตื่นตูมไว้ก่อน แล้วรีบไปหาหมอตรวจเลย ไม่เสียหายหรอก อย่ามัวแต่คิดบวก โลกสวยกับอาการผิดปกติ ไปหาหมอเถอะ ถึงไม่เป็นโรคร้ายแรง อย่างน้อยเราก็เบาใจ หายสงสัย ดีกว่าปล่อยไว้ให้ลุกลาม จนแก้ไขไม่ทัน