“คนเรากลัวมะเร็งกันได้ ไม่ผิดหรอก
เพียงแต่กลัวแล้ว ต้องตั้งสติ
ใช้ความกลัวเป็นพลัง ยิ่งกลัว…
ก็ต้องยิ่งเอาชนะมันให้ได้”
เพ็ญ-พัทธนันท์ กิจเจริญในธรรม อดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative Breast Cancer Triple Negative Breast Cancer(TNBC) ระยะ 2 วัย 46 ปี ที่เพิ่งจบการรักษามาไม่นาน นอกจากบทบาทของเจ้าของธุรกิจหอพัก ‘วีระชัยแมนชั่น’ แห่งอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่แล้ว เธอยังเป็นมือวางอันดับหนึ่งเรื่องการดูแลครอบครัว ไม่ว่าจะในบทบาท ‘คุณแม่’ ของลูกชายที่เพิ่งจบการศึกษามาหมาดๆ หรือ ‘ภรรยา’ ที่คอยดูแลสามีที่มีอายุห่างจากเธอเกือบ 40 ปี ซึ่งเป็นอดีตผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ที่แข็งแรง สดใส และไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเคยเป็นมะเร็งมาก่อน
“ด้วยความที่สามีอายุมาก เราก็ไม่อยากให้เขาคิดมาก จึงบอกเขาแค่ว่า เขาเป็นริดสีดวงทวารต้องผ่าตัดนะ ปล่อยทิ้งไว้ไม่ดี ทั้งๆ ที่จริงนั้นเขาเป็นมะเร็งลำไส้และมีอาการถ่ายเป็นเลือด โชคดีที่เชื้อมะเร็งไม่ได้รุนแรงอะไร คุณหมอจึงแนะนำว่าแค่ผ่าตัดก็พอ ไม่ต้องให้คีโม เพราะถ้าให้คีโมก็เกรงว่าร่างกายจะรับไม่ไหวเนื่องจากอายุ 80 กว่าแล้ว หลังผ่าตัดและพักฟื้นจนหายดี สามีก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องติดตามผลทุกๆ 6 เดือน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมากว่า 4 ปีแล้ว”
4 ปีกับการทำความรู้จัก ‘มะเร็ง’
“หลังจากสามีเป็นมะเร็ง เราก็เริ่มเห็นคนรอบข้างเป็นมะเร็งกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นมะเร็งเต้านม, ญาติที่เป็นมะเร็งดวงตา, หลานที่เป็นมะเร็งกระดูก, ลูกของเพื่อนซึ่งอายุแค่ 22 ปี ก็เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ฯลฯ และคุณน้าที่เป็นพยาบาลเองก็เคยเล่าให้ฟังว่า แต่ละปีจะมีเด็กวัย 3-5 ปี จำนวนไม่น้อยที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวและต้องเข้ารับการรักษา นั่นทำให้เรารู้เลยว่า มะเร็งนี้เกิดขึ้นได้ทุกที่ในร่างกายและเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ไม่ใช่โรคของคนแก่อย่างที่เคยเข้าใจ เราเริ่มรู้สึกว่ามะเร็งใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกที แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งมันจะเกิดขึ้นกับเรา
“ด้วยความที่เราเป็นคนแข็งแรง และให้ความสำคัญกับ ‘อาหาร’ มาเป็นอันดับหนึ่ง น้อยครั้งมากที่จะกินอาหารนอกบ้าน ส่วนใหญ่จะทำกินเองที่บ้าน และไม่กินอาหารรสจัด ผักต่างๆ ก็เน้นซื้อหาจากชาวบ้าน ยิ่งสามีมาเป็นมะเร็ง เราก็ยิ่งดูแลอาหารมากขึ้นเป็นพิเศษ จนลูกชายจะบ่นเสมอๆ ว่า อาหารแม่นี่ไม่มีรสชาติอะไรเลย (หัวเราะ) ขณะที่เบเกอรีที่เคยเป็นเมนูประจำโต๊ะแทบทุกมื้อ ก็กลายเป็นเมนูประจำเทศกาลไปโดยปริยาย เช่น วันเกิด หรือปีใหม่ ฯลฯ เรียกว่านานๆ ทีจึงจะได้กิน และพยายามปรับสูตรให้เป็นเบเกอรี่เพื่อสุขภาพมากขึ้น แต่ถึงจะดูแลดีอย่างไร ก็ยังไม่วาย…”
มะเร็งมาทักทาย
“ปกติเราจะตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี นอกจากตรวจสุขภาพพื้นฐานทั่วไปตามวัยแล้วก็จะเน้นไปที่มะเร็งปากมดลูก แต่เจ็บใจตัวเองจนถึงวันนี้ที่ไม่เคยตรวจมะเร็งเต้านมเลย เพราะเราคิดว่าเราตรวจด้วยการคลำเต้านมตัวเองได้ และบางทีที่เราไปตรวจมะเร็งปากมดลูก คุณหมอก็จะช่วยคลำให้เหมือนกัน ก็ไม่เคยเจอความผิดปกติอะไร โดยหารู้ไม่ว่ามะเร็งก้อนเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่นั้น มือคลำอย่างไรก็คงไม่เจอ
“สองปีก่อนซึ่งเป็นช่วงหมดประจำเดือน เราก็เริ่มเข้าสู่วัยทอง มีอาการหงุดหงิด เครียด และเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมด โดยเฉพาะแขนข้างขวาจะปวดมาก ไปหาหมอแผนโบราณนวดเท่าไรก็ไม่หายสักที เปลี่ยนหมอแล้วก็ยังไม่หาย ปวดจนนอนไม่หลับ จึงตัดสินใจไปหาหมอ
“แต่ด้วยความที่ตอนนั้นมีอาการจุกเสียดร่วมด้วย ถึงขนาดนอนราบไม่ได้ ต้องนั่งหลับ หมอจึงวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระเพาะและให้ยามากิน ซึ่งอาการก็เป็นๆ หายๆ อยู่ราวสองปี ก็เริ่มสงสัยตัวเองแล้วละว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่ จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งเราบังเอิญคลำเจอก้อนแข็งที่เนินหน้าอก เชื่อไหมว่าวันนั้นหน้าของเพื่อนรุ่นพี่ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านมแวบเข้ามาในหัว
“พอรุ่งเช้าก็รีบไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนตามสิทธิ์ประกันสังคม คุณหมอก็สั่งอัลตราซาวนด์ทันที ภาพที่เห็นก็คือก้อนดำๆ มีเส้นเลือดรายล้อมดูน่ากลัวมาก พอเห็นดังนั้นคุณหมอก็รีบทำเรื่องส่งตัวไปรักษาต่อกับคุณหมอเฉพาะทางด้านมะเร็ง แต่ด้วยคิวนัดที่รอนาน เราจึงโทรปรึกษากับคุณน้าที่เป็นพยาบาล ท่านก็แนะนำให้หันไปใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพที่ทำไว้
“รุ่งขึ้นอีกวัน เราจึงไปที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสุขภาพ ก็ได้เจอคุณหมอศัลยกรรมที่เคยผ่าตัดมะเร็งให้สามี พอคุณหมอคลำก้อนก็พูดขึ้นมาคำหนึ่งว่า “นี่เกือบ 2 เซนฯ เลยเนอะ” และคุณหมอก็ช่วยนัดคุณหมอเฉพาะทางด้านมะเร็งในเย็นวันนั้นเลย พอเจอคุณหมอ ท่านก็แนะนำให้เจาะชิ้นเนื้อและรอฟังผลอีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมา”
ความหวานเป็นเหตุ!
“12 กันยายน 2565 ผลชิ้นเนื้อออกมาและบ่งชี้ชัดเจนว่าเป็นมะเร็ง วันนั้นเราทำอะไรไม่ถูกเลย ได้แต่ถามหมอตรงๆ ว่าทำอย่างไรดี คุณหมอก็ตอบมาคำหนึ่งว่า ตัดเลย! เราก็ตัดสินใจตัดทิ้งทั้งเต้า และไม่คิดเสริมอีกด้วย เพราะไม่อยากลุ้นอีกแล้วว่ามะเร็งจะกลับมาไหม และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ถ้าเราตัดทิ้ง เราไม่จำเป็นต้องมาฉายแสงอีก
“จากที่เคยดูแลคนอื่น ให้กำลังใจ ปลอบใจคนอื่นมาตลอด พอมาเป็นมะเร็งเสียเอง เรากลับทำอะไรไม่ถูกเลย ได้แต่นั่งร้องไห้ พอคิดขึ้นมาน้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมาเลย ไม่รู้จะเอาไงต่อกับชีวิต ไม่รู้จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร มีแต่คำถามที่วนเวียนว่า เราจะรักษาหายไหม? มันจะกลับมาอีกไหม? และ เราจะตายไหม?
“เราไม่เคยเตรียมใจไว้รับกับสถานการณ์นี้เลย เพราะที่ผ่านมาร่างกายก็ปกติดีทุกอย่าง ไม่มีอาการใดบ่งบอกให้เรารู้ตัวก่อนเลยว่าจะป่วย ที่สำคัญเราเป็นคนที่ดูแลสุขภาพมาตลอด ทั้งการตรวจสุขภาพประจำปี ออกกำลังกาย สวดมนต์ รวมถึงอาหารการกินที่จะดูแลเป็นอย่างดี หากจะพลาด ก็น่าจะเป็นเรื่อง ‘เบเกอรี่’ อย่างเดียว
“ด้วยความที่สามีเป็นคนชอบกินเบเกอรี่ และเราเองก็ถนัดทำ (หัวเราะ) มีอุปกรณ์ครบ เรียกว่าเปิดร้านได้เลย ไม่ว่าสามีอยากกินอะไร เราก็จะเนรมิตให้ได้ทุกอย่าง แม้จะเป็นเมนูที่ไม่รู้จักก็จะพยายามอ่านจากตำราบ้าง ดู Youtube.com บ้าง และพยายามคัดสรรวัตถุดิบมาอย่างดี เน้นสูตรที่เป็นเบเกอรี่เพื่อสุขภาพ เช่น ใช้น้ำมันมะกอกแทนมาการีน ฯลฯ แต่ที่เลี่ยงไม่ได้เลยก็คือ ‘น้ำตาล’ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ต้องใช้ในปริมาณมากอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่หลังจากสามีเป็นมะเร็ง เบเกอรี่ก็ถูกลดตำแหน่งจากเมนูประจำโต๊ะ กลายเป็นเมนูตามเทศกาลไป ยิ่งพอเรามาเป็นมะเร็งเสียเอง เบเกอรี่ก็ถูกปิดประตูตาย อุปกรณ์ทุกอย่างถูกเก็บเข้าตู้ พักยาววววว…เลย (หัวเราะ)”
ธรรมะเยียวยาใจ
“หลังฟังผลแล้ว เราก็นัดวันผ่าตัดกับคุณหมอทันทีเพราะอยากเอาก้อนมะเร็งออกจากชีวิตให้เร็วที่สุด วันนั้นคุณหมอก็ชี้แจงว่า นอกจากจะผ่าตัดก้อนมะเร็งแล้ว ยังจำเป็นต้องทำการเลาะต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ไปตรวจด้วยว่า มะเร็งลามไปหรือยัง ตั้งแต่วันนั้นมาเราก็มุ่งมั่นตั้งใจสวดมนต์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย (หัวเราะ) เพราะไม่อยากให้มะเร็งลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง
“อย่างที่เขาว่าๆ กัน ถ้าไม่ทุกข์ ก็คงไม่เห็นธรรม
คนเราทุกคนเมื่อเกิดทุกข์ สิ่งแรกที่แวบเข้ามา
ก็คือธรรมะซึ่งเป็นเสมือนที่พึ่งทางใจ
“แม้เดิมทีเราจะเป็นคนสวดมนต์อยู่แล้ว แต่ก็จะเป็นการท่องเพื่อให้จิตใจสงบเท่านั้น และจากที่เคยศึกษามา เรารู้ว่าการสวดมนต์นั้นมีประโยชน์มากมาย ไม่ใช่แค่บำบัดใจ แต่ยังเยียวยารักษาโรคทางกายได้ พอมาเป็นมะเร็ง เราก็เริ่มหาความรู้เกี่ยวกับการสวดมนต์และการฝึกสมาธิมากขึ้น จนไปเจอวิธี ‘ตั้งลม’ คือการสวดมนต์ไปพร้อมกับการกำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก และเริ่มปฏิบัติตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นี่เองที่ทำให้เรารู้สึกขอบคุณมะเร็งที่เข้ามาทำให้เราเข้าถึงหลักธรรมะมากขึ้น จนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะมีเรื่องเครียดอะไรก็ตาม สิ่งแรกที่เราจะทำก็คือสูดหายใจลึกๆ ตั้งสติให้อยู่กับใจตัวเอง นอกจากจะไล่ความเครียดไปได้แล้ว ยังทำให้หลับลึก หลับสบาย แบบไม่ต้องพึ่งยานอนหลับทีเดียว
“หลังผ่าตัดและผลออกมาว่า มะเร็งยังไม่ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง เราก็ยังไม่วางใจ ขอให้คุณหมอช่วย PET Scan ทั้งร่างกายให้อีกครั้ง เพื่อให้รู้แน่ชัดไปเลยว่ายังมีก้อนมะเร็งที่อวัยวะอื่นอีกไหม นอกจากนั้นยังขอตรวจ Genetic Cancer Screening เพื่อตรวจหายีนกลายพันธุ์แต่กำเนิดอีก เพราะกลัวจะเป็นมะเร็งแบบพันธุกรรม โดยต้องส่งตรวจไกลถึงอเมริกา แต่สุดท้ายผลออกมาปกติดีทุกอย่าง จะเจออย่างเดียวก็คือต่อมไทรอยด์อักเสบ ที่มาของอาการกลืนน้ำลายแล้วรู้สึกเจ็บ บางทีก็เหมือนเสลดติดคอตลอดเวลา นั่นทำให้คุณหมอสั่งงดกินแป้งสาลี ต้นเหตุสำคัญทันที
“แม้ผลของ PET Scan ออกมาไม่มีอะไรผิดปกติ แต่คุณหมอก็ยังยืนยันว่าเราต้องให้คีโมต่อ เพราะผลของ PET Scan นั้นไม่ได้การันตีว่า เราปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจาก PET Scan จะตรวจเจอเฉพาะมะเร็งที่เกาะกันเป็นกลุ่มก้อนแล้วเท่านั้น แต่สำหรับเซลล์มะเร็งที่กำลังเพาะตัวอยู่ PET Scan ไม่มีทางเห็นได้เลย จึงจำยอมต้องให้คีโมต่ออีก 8 ครั้ง โดยแต่ละครั้งห่างกัน 15 วัน”
เผชิญความกลัวที่สุดในชีวิต
“กลัวที่สุดก็คือการคีโมนี่แหละ เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา เราจะเห็นผู้ป่วยมะเร็งเสียชีวิตระหว่างการให้คีโมอยู่พอสมควร และบางคนก็เป็นคนใกล้ตัว พอรู้ว่าตัวเองต้องให้คีโม ยอมรับว่ากลัวมากกกก… แต่โชคดีที่หลานซึ่งเป็นหมออายุรกรรมมาเตือนสติว่า “ถ้าน้าไม่ทำคีโม โอกาสที่มะเร็งกลับมาจะมีสูงมาก และหากมะเร็งกลับมาที่อวัยวะอื่น จะยิ่งรักษายากกว่า และยิ่งทรมานกว่าการให้คีโมนะ ที่สำคัญปัจจุบันนี้คีโมก็ไม่ได้อันตรายแล้ว” เราจึงตัดสินใจให้คีโมในที่สุด
“ราว 1 เดือนหลังการผ่าตัดจะเป็นช่วงเวลาที่คุณหมอให้พักฟื้นร่างกายก่อนให้คีโม เราก็ถือโอกาสนี้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปกับเพื่อนสนิททันที เพราะคิดว่าเดี๋ยวช่วงคีโมคงกินและเที่ยวไม่ได้ จึงออกเดินทางเที่ยวและหาของอร่อยๆ กินไปเรื่อยๆ ขับรถไปก็ร้องไห้กันไป (หัวเราะ) และปิดการรับรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับมะเร็ง เพื่อจะทำให้ตัวเองไม่เครียดหรือฟุ้งซ่านมากไป
“จนกระทั่งถึงวันให้คีโมวันแรก จำได้ว่าระหว่างที่ยาวิ่งเข้าเส้น ปวดร้าวไปจนถึงต้นแขน เพราะเป็นสูตรแรง สูตรยาน้ำแดงประมาณ 200 ซีซี แต่สักครู่ความปวดก็หายไป เราก็พยายามนั่งสวดมนต์ไปด้วย และคิดว่าคีโมนี้เหมือนน้ำมนต์ที่จะไปปัดเป่าโรคภัยออกจากตัวเรา ทำอย่างนั้นจนครบ 8 ครั้ง โดย 4 ครั้งแรกนั้นเป็นสูตรน้ำแดง ส่วน 4 ครั้งหลังจะเป็นสูตรน้ำขาว ทุกครั้งก็ผ่านไปด้วยดี โดยไม่มีอาการแพ้ใดๆ เลย นอกจากผมร่วง แต่หน้าตาและผิวพรรณกลับเปล่งปลั่งมาก แถมยังหิวตลอดเวลา (หัวเราะ) จนเพื่อนๆ ต่างทักกันว่า นี่ไม่ใช่หน้าตาของคนป่วยมะเร็งเลย”
เคล็ดลับฉบับ ‘คีโม เกิร์ล’
“เคล็ดลับสำคัญของเราก็คือพยายามไม่ให้ปากเป็นแผลเด็ดขาด เพราะแผลในปากจะทำให้เรากินข้าวไม่ได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับคีโมสูตรน้ำแดงจะมีอาการข้างเคียงที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ นอกจากการดูแลรักษาความสะอาดภายในช่องปากแล้ว สิ่งหนึ่งที่จำเป็นมากก็คือการพกน้ำแข็งที่ทำจากน้ำสะอาดติดตัวไปด้วย ระหว่างที่ให้เคมีบำบัดก็อมต่อเนื่องจนกว่าคีโมจะหมด จะช่วยลดโอกาสเป็นแผลในปากจากยาเคมีบำบัดได้เป็นอย่างดี
“ช่วงให้เคมีบำบัดนี้ถือเป็นช่วงปราบเซียน หากดูแลตัวเองไม่ดี ร่างกายก็จะทรุดโทรมได้ง่าย ยิ่งหากติดเชื้อก็เสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้เลย ฉะนั้นหน้าที่ของผู้ป่วยมะเร็งทุกคนก็คือดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ยกตัวอย่างตัวเราเอง ทุกๆ เช้า เราตื่นมาแล้วจะพยายามขับถ่ายเลย โดยจะใช้วิธีดื่มน้ำ 2 แก้ว ก่อนล้างหน้า แปรงฟัน จากนั้นก็จะโยกย้ายส่ายเอวไปมาให้ร่างกายเข้าที่เข้าทาง สักพักก็จะเริ่มปวดหนัก ก็จะเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แต่งตัว และเข้าครัวทำกับข้าวเอง
“โดยมื้อเช้านั้น เราจะกินอาหารเบาๆ เพื่อให้ร่างกายปรับตัวจากการนอนมาทั้งคืน เช่น นมกับข้าวโอ๊ต หรือสลัด ไข่ต้ม ผลไม้ ฯลฯ พอกินมื้อเช้าเสร็จก็จะสวดมนต์ราว 1 ชั่วโมงครึ่ง จากนั้นก็กินมื้อกลางวัน ซึ่งจะเป็นมื้อที่หนักที่สุดของวัน คือ เน้นกินอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะพวกปลา พอตกบ่ายก็จะนั่งสมาธิ ‘ตั้งลม’ รออาหารย่อย จากนั้นจึงนอนกลางวันตอนบ่าย 2 โมง และตื่นมาราว 4 โมงเย็น มาทำอาหารมื้อเย็น ซึ่งจะงดเว้นข้าว แต่จะเน้นกินน้ำผักปั่น
“ด้วยช่วงคีโม คุณหมอจะให้เราหลีกเลี่ยงกินผักสด ผลไม้สดเปลือกบางทุกชนิด เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ เราก็จะใช้วิธีนำผักหลากหลายชนิด เช่น บีทรูท แครอท กะหล่ำดอก บรอกโคลี และจิงจูฉ่าย ผักปั๋ง ผักเชียงดา ฯลฯ อย่างละกำมือให้ได้ 1 จานข้าวพูนๆ มาลวกน้ำร้อน 3 นาที ก่อนจะปั่นให้ละเอียดกับน้ำสะอาดและนมทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยมะเร็งโดยเฉพาะ จากนั้นก็ดื่มเป็นอาหารมื้อเย็นเหมือนสมูทตี้ และเสริมวิตามินบีรวม เนื่องจากผู้ป่วยที่ผ่านการให้คีโมนั้นมักจะเกิดอาการปลายประสาทชา เช่น มือชา เท้าชา วิตามินบีรวมก็จะช่วยได้ทางหนึ่ง นอกจากนี้ก็จะมีซิงก์ แคลเซียม น้ำมันปลา โดยทั้งหมดจะอยู่ในความดูแลของแพทย์
“พอมื้อเย็นเสร็จสรรพก็ถึงเวลาออกกำลังกาย เราจะออกกำลังกายตาม YOUTUBE โดยจะหาท่าออกกำลังกายที่ช่วยบริหารต่อมน้ำเหลืองอย่างถูกวิธี หรือไม่ก็เต้นแอโรบิกอย่างน้อย 30 นาที เพื่อให้ร่างกายได้ขับของเสียออกมาทางเหงื่อ นอกจากนี้คุณหมอยังแนะนำให้เวตเทรนนิ่งด้วย เพราะผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่นั้นมักจะสูญเสียกล้ามเนื้อไประหว่างที่ให้คีโม”
ประโยชน์มหาศาลจาก ‘ความกลัว’
“หลังจากเราให้คีโมมาสักพัก เราก็จะเริ่มรู้ว่าร่างกายของเรานั้นจะอ่อนเพลีย มึนๆ เบลอๆ ช่วงวันที่ 5-10 หลังจากการทำคีโม ซึ่งเป็นช่วงที่เม็ดเลือดขาวตก นอกจากต้องดูแลเรื่องอาหารเป็นอย่างดีแล้ว การออกกำลังกายก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามร่างกาย โดยเราจะหันมาออกกำลังกายเบาๆ เช่น นอนเตะขา ถีบขา เท่าที่เราไหว เพราะการออกกำลังกายนั้นจะช่วยให้ร่างกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่สูญเสียไป ฉะนั้น ป่วยแล้วอย่านอนซมเด็ดขาด เพราะนอกจากจะทำให้กล้ามเนื้อหดตัว ฝ่อลงไปเรื่อยๆ แล้ว ยังทำให้เรามีเวลาคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย จนเกิดเป็นความเครียด พานจะป่วยใจไปด้วย
“นี่แหละเคล็ดลับที่ทำให้คีโม 8 ครั้ง ผ่านไปไวมาก แทบจะไม่มีเวลามานั่งเครียดเลย เราพยายามใช้ความกลัวทั้งหมดให้เป็นประโยชน์ ยิ่งกลัว ยิ่งกินของที่มีประโยชน์ ยิ่งกลัว ยิ่งออกกำลังกาย ยิ่งกลัว ยิ่งสวดมนต์ ยิ่งกลัว เราก็ต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้หายเร็วที่สุด สิ่งเดียวที่เราจะเอาชนะความกลัวได้ก็คือสติและการลงมือทำ
“ถ้าถามว่า ทุกวันนี้กลัวมะเร็งไหม ลึกๆ ก็ยังคิดกลัวว่ามันจะกลับมานะ แต่ยิ่งกลัวเท่าไร เราก็จะยิ่งบอกตัวเองว่า ต้องทำอะไรก็ได้ให้มันไม่กลับมาหาเรา ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตซ้ำๆ ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ ปล่อยวาง ไม่เครียด ฯลฯ
“สิ่งหนึ่งที่เราจะทำทุกๆ เช้าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็คือการส่งยิ้มให้ตัวเองที่หน้ากระจก เหมือนคนบ้านะ (หัวเราะ) แต่ลองทำดูเถอะ เพราะนี่คือวิธีทำให้สมองหลั่งฮอร์โมนความสุขออกมา แล้ววันนั้นเราจะอารมณ์ดี มีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ”
ขอบคุณมะเร็ง
“ก่อนหน้าที่เราจะมาเป็นมะเร็ง เราได้รับเชิญไปงานศพของผู้ป่วยมะเร็งเยอะมาก นั่นก็ทำให้เราฝังใจเสมอว่า มะเร็งเท่ากับตาย แต่พอสามีเป็นมะเร็งแล้วรักษาหาย ยิ่งมาเจอกับตัวเอง เราก็เริ่มรู้แล้วว่า โรคมะเร็งก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เป็นมะเร็งวันนี้ ใช่ว่าจะตายพรุ่งนี้เสียเมื่อไร อย่างน้อยมะเร็งก็ยังให้เวลาเราได้เตรียมตัว
“ทุกวันนี้เราขอบคุณมะเร็งเสมอที่เข้ามาเตือนสติเราว่า อย่าประมาทในการใช้ชีวิต เพราะจริงๆ นั้นเซลล์มะเร็งก็อยู่ในตัวเราทุกคนนี่แหละ เพียงแต่มันจะเกิดขึ้นเมื่อไร เกิดขึ้นที่ตรงไหนเท่านั้นเอง ด้วยอาหาร อากาศ บวกกับความประมาทในการใช้ชีวิตผ่านพฤติกรรมเดิมๆ ซ้ำๆ ของคนส่วนใหญ่ เช่น นอนดึก เครียด กินอาหารหมักดอง ปิ้งย่าง อาหารแปรรูป ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ไปกระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายเกิดความผิดปกติจนกลายเป็นมะเร็งกันได้ทุกคน โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม ซึ่งเป็นมะเร็งอันดับหนึ่งที่พบในผู้หญิงทั่วโลก เราจึงอยากเตือนสาวๆ ทุกคนว่า อย่าละเลย อย่าอาย อย่ากลัวที่จะตรวจอัลตราซาวนด์ แมมโมแกรมเต้านมตัวเองเป็นประจำ เพราะเชื่อเถอะว่า มันเสียเวลา เสียเงิน และเจ็บตัวน้อยกว่าการเป็นมะเร็งแน่นอน…”
#มะเร็งเต้านมรู้เร็วรักษาเร็วก็หายได้
#เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป
#TBCCLifegoeson
#ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย