หนึ่งฤทัย อ้นเรืองศรี : ปรับมุมคิด…พิชิตมะเร็งระยะสุดท้าย

“อย่าคิดว่าเป็นมะเร็งแล้ว
ต้องตายทุกคน
จริงๆ มันมีอะไรที่ร้ายแรง
กว่ามะเร็งอีกมากมาย
ใช่ว่ามะเร็งจะร้ายแรงที่สุด
ในโลกซะเมื่อไหร่”

.
หนึ่ง-หนึ่งฤทัย อ้นเรืองศรี อดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะที่ 4 ซึ่งมะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง ตับ ปอด และกระดูกเมื่อ 3 ปีก่อน ก่อนจะตัดสินใจเออร์ลี่ รีไทร์ ทิ้งตำแหน่งหัวหน้าบริหารจัดการสาขาของธนาคารชั้นนำแห่งหนึ่งพร้อมเงินเดือนเหยียบแสนไว้ข้างหลัง และเดินออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในวัย 54 ปี

“ความสุขของเราวันนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนชีวิตอยู่กับงาน งานเป็นเสมือนเจ้าชีวิตเรา ไม่ว่าจะทำอะไร อยู่ที่ไหน ใจของเราก็จะอยู่กับงานอย่างเดียว และด้วยงานที่ต้องอยู่กับตัวเลข ระบบบัญชี ก็คงจะเครียดเป็นธรรมดา แต่บังเอิญว่าเราไม่รู้สึก 

“กว่า 27 ปีที่ทำงานมา เราจริงจังและตั้งใจทำงานมาก ตั้งเป้าหมายกับตัวเองทุกปีว่าผลการประเมินต้องดีที่สุด ทำให้งานหนักแค่ไหนก็สู้ เลิกงานแล้วงานยังไม่เสร็จก็ยอมนั่งทำงานต่อถึงสองทุ่ม สามทุ่ม ต้องเคลียร์ให้จบ เพราะความสุขของเราคือความสำเร็จ ตำแหน่ง และเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นทุกๆ ปี 

“แต่พอมะเร็งเข้ามา ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ทั้งชีวิต ความคิด และมุมมอง มะเร็งทำให้เราหันกลับมามองตัวเอง และตระหนักได้ว่าเราต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น จากที่เคยเป็นคนที่ซีเรียสกับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือแม้แต่เรื่องที่บ้าน แค่เห็นฝุ่นติดอยู่นิดหน่อยก็ทำให้เราหงุดหงิดและดุแม่บ้านได้แล้ว แต่ทุกวันนี้เราปล่อยวางได้มากขึ้น และหัวเราะกับสิ่งรอบข้างง่ายขึ้น เราไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว”

ขอบคุณมะเร็ง

“เราขอบคุณมะเร็งเสมอที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตและความคิดต่างๆ ถ้ามะเร็งไม่เข้ามาในชีวิตวันนั้น วันนี้เราก็คงยังก้มหน้าก้มตาทำงาน ยอมนอนดึก เดินทางไกลๆ เพื่อเลื่อนขั้น เพื่อตำแหน่ง เพื่อเงินเดือน และยังคงปาร์ตี้ ขับรถกลับบ้านแบบเสี่ยงๆ 

“ถ้าไม่เป็นมะเร็ง เราก็อาจจะเส้นเลือดในสมองแตก กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราจากความเครียด หรือทำงานหนักโดยไม่ดูแลตัวเอง หรืออาจจะเมาแล้วขับรถไปเกิดอุบัติเหตุที่ไหนสักแห่ง กลายเป็นคนพิการ ซึ่งชีวิตคงแย่กว่ามะเร็งแน่นอน 

“มะเร็งเข้ามาบอกให้เราหยุด! หยุดทำเรื่องที่เสี่ยงๆ ทั้งหลายแหล่ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหามรุ่งหามค่ำ หรือการปาร์ตี้ที่อาจจะทำให้ตัวเองเสี่ยงอุบัติเหตุ หรืออะไรอีกมากมายที่ร้ายแรงกว่ามะเร็งแน่นอน”   

วันแรกที่เจอมะเร็ง

“ก่อนจะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ย้อนหลังไปไม่กี่เดือนเราต้องย้ายไปทำงานที่สาขาในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลบ้านพอสมควร ถึงจะเข้างานสายกว่าปกติ แต่ก็ต้องเลิกงานดึก เป็นช่วงที่เครียดพอสมควร ทำอยู่แค่ 5 เดือน เราก็คลำเจอก้อนที่เต้านมข้างขวา 

“เชื่อไหมว่า ครั้งแรกที่คลำเจอก็มั่นใจเลยว่าเป็นมะเร็ง เพราะเราพอจะมีความรู้อยู่บ้างว่าลักษณะของก้อนมะเร็งเป็นอย่างไร แต่พอไปที่ทำงานตั้งใจจะให้เพื่อนลองคลำอีกที มันก็หายไปไหนไม่รู้ (หัวเราะ) คลำเท่าไรก็ไม่เจอ แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ รีบไปหาหมอทันที 

“พอคุณหมอแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์แล้ว ก็แนะนำ 2 วิธีเพื่อตรวจเช็กให้แน่ชัด คือ เจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ หรืออีกวิธีหนึ่งเป็นการผ่าตัดก้อนเนื้อออกไปเลย เราก็ตัดสินใจเอาออกจากร่างกายไปเลยดีกว่า ถ้าไม่ใช่เนื้อร้ายก็จบ หรือหากเป็นเนื้อร้ายก็ค่อยดำเนินการรักษาต่อไป

“วันที่คุณหมอนัดฟังผล เราก็ขับรถมาฟังผลก่อนจะไปทำงานต่อ ซึ่งผลก็เป็นไปตามคาด คือ เราเป็นมะเร็ง! โดยคุณหมอวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 4 และเชื้อแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง ตับ ปอด และกระดูกแล้ว จำได้ว่า ณ วินาทีนั้น เราไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่าการบอกหมอว่า เราต้องการรักษาให้เร็วที่สุด

เข้าสู่กระบวนการรักษา

“หนึ่งเดือนถัดมา หลังแผลผ่าตัดครั้งแรกหายดี คุณหมอก็นัดผ่าตัดครั้งที่สองเพื่อเลาะต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ขวากว่า 15 ต่อม เพราะมะเร็งลามเข้าต่อมน้ำเหลือง และตัดปลายประสาทไป 5 เส้น ซึ่งทำให้แขนขวาทำหัตการใดๆ ไม่ได้เลยตลอดชีวิต แต่โชคดีที่ไม่มีอาการแขนบวม ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเราเป็นคนที่เชื่อฟังคุณหมอทุกอย่าง เพราะลึกๆ เรารู้สึกว่าไม่มีวิธีใดดีไปกว่าการรักษาของหมอแผนปัจจุบัน ฉะนั้น สิ่งที่หมอพูดคือสิ่งที่ดีที่สุด หมอให้ทำอะไร เราก็ทำ หรือหมอห้ามอะไร เราก็จะไม่ฝ่าฝืน เรียกว่าเป็นผู้ป่วยที่ตั้งใจรักษามาก 

“หลังแผลผ่าตัดเริ่มหายดี ก็เข้าสู่กระบวนการให้คีโม 4 ครั้ง จำได้ว่าเข็มแรกชิลล์มาก กินไข่ขาววันละ 8-10 ฟองสบายๆ เตรียมร่างกายพร้อมกับการรักษาเต็มที่ พอเข็มที่สองผมเริ่มร่วง แต่ก็ยังไม่รู้สึกอะไรเพราะเตรียมใจไว้แล้ว กระทั่งเข็มที่ 3 ร่างกายเราก็คงเริ่มไม่ไหวแล้ว เพราะนอกจากยาคีโมจะเข้าไปทำลายเซลล์มะเร็งแล้ว ก็เข้าไปทำลายเซลล์ดีในร่างกายเราด้วย ปรากฏว่าครั้งนั้นเกล็ดเลือดไม่ผ่าน ต้องกลับมากินทุกอย่างเพื่อให้เกล็ดเลือดขึ้น จากนั้นก็เริ่มมองหาอาหารทางการแพทย์มาชงดื่ม เพราะกินไข่ขาวไม่ไหวแล้ว เริ่มเบื่ออาหาร เหม็น อาเจียน เหมือนร่างกายไม่รับแล้ว แต่ก็พยายามจะกินเข้าไปให้ได้มากที่สุด 

“พอเข็มที่ 3 ผ่านไป เข็มที่ 4 ก็เป็นเหมือนเดิมอีก คือไปครั้งแรกให้คีโมไม่ได้ เพราะเกล็ดเลือดไม่ผ่าน ก็ต้องกลับมากินเหมือนเดิม และกลับไปให้ในสัปดาห์ถัดมา แต่ผลข้างเคียงเข็มที่ 4 นี่เป็นอะไรที่บีบหัวใจมาก เราเข้าใจเลยว่า ทำไมหลายๆ คนถึงเสียชีวิตจากการให้คีโม

“หลังจากให้คีโมเข็มที่ 4 กินไม่ได้ แค่หายใจก็ยังหายใจได้แค่สั้นๆ ความรู้สึกเหมือนหายใจแต่ไม่เข้าปอด ต้องนอนนิ่งๆ อ้าปากหายใจ แต่ก็พยายามไม่ทุรนทุราย นอนกำหนดลมหายใจไปเรื่อยๆ กินอะไรไม่ได้ก็ใช้วิธีดูดอาหารทางการแพทย์ไปทีละนิดทั้งวัน คิดอย่างเดียวว่าต้องเอาชีวิตรอดให้ได้

“ด้วยก่อนหน้านั้น เราได้ไปรู้จักผู้ป่วยมะเร็งคนหนึ่งเมื่อครั้งที่ไปให้คีโมเข็มแรก แต่พอเข็มที่สองก็ทราบข่าวจากพยาบาลว่าเขาเสียชีวิตแล้วจากการให้คีโม ตอนนั้นก็ยังสงสัย ทำไมถึงไปง่ายจัง? แต่พอมาเจอด้วยตัวเอง…รู้เลยว่าเป็นอย่างไร

“พอ 7 วันผ่านไป อาการต่างๆ ก็ค่อยทุเลาลงเรื่อยๆ จนปกติ เราได้เรียนรู้ว่าคีโมอาจจะทำให้เราทรมาน แต่เมื่อร่างกายเริ่มฟื้นตัว เราก็จะหลุดพ้นอาการเหล่านั้นไปได้ ฉะนั้น ทำอย่างไรก็ได้…ให้กินให้ได้ นอนให้หลับ มันอาจจะทรมาน แต่อย่าทุรนทุราย อย่าฝืนร่างกายเพราะจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ เดินไม่ได้ก็นั่ง นั่งไม่ได้ก็นอน ตั้งสติ ทำสมาธิไปเรื่อยๆ เชื่อเถอะว่าเดี๋ยวอาการต่างๆ ก็จะผ่านไป”

ความสุขที่เปลี่ยนไป

“กว่า 7 เดือนในการรักษามะเร็งผ่านไป เราเริ่มชีวิตใหม่ด้วยการเลิกปาร์ตี้ เข้านอนเร็วขึ้น 2-3 ทุ่มก็หลับแล้ว และค่อยๆ ปล่อยวางสิ่งต่างๆ ที่ทำให้ตัวเองเครียดได้ เช่น ถ้าวันไหนงานไม่เสร็จก็วางเป็น จากเมื่อก่อนดึกยังไงก็ต้องทำให้เสร็จ พอมะเร็งเข้ามาทำให้เราเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

“เรารู้สึกว่าเวลาของเรามีจำกัด ไม่ได้กลัวตายนะ เพียงแต่เราอยากใช้ชีวิตที่เหลือหาความสุขใส่ตัวมากกว่า มะเร็งครั้งนี้ทำให้เราได้รู้จักความสุขมากขึ้น และไม่เสียดายหรือเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิต

“จำได้ว่าวันที่ยื่นจดหมายลาออก ด้วยความที่เราทำงานมากว่า  27 ปี เงินเดือนจึงค่อนข้างสูง และสวัสดิการของบริษัทก็ดี เพราะในการรักษามะเร็งครั้งนี้ทางบริษัทก็รับผิดชอบให้ทั้งหมด จึงมีแต่คนถามว่า ไม่เสียดายเหรอ? ถ้าก่อนเป็นมะเร็งคงคิดหนัก แต่หลังจากเป็นมะเร็งแล้ว ความคิดมันเปลี่ยนไปแล้ว ความสุขของเราวันนี้คือแค่ได้นอนอย่างเพียงพอ และตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่แจ่มใส ได้ออกกำลังกาย ได้ทำอาหารดีๆ ให้ตัวเองและคนรอบข้าง ได้ปลูกต้นไม้ที่ชอบ ได้ปั่นจักรยานรอบหมู่บ้านตามใจอยาก ฯลฯ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว เป็นสุขง่ายๆ ที่เราสร้างขึ้นได้ด้วยตัวเอง” 

มุมมองต่อมะเร็ง 

“ทุกวันนี้ ถ้าไม่นับการกินยาต้านฮอร์โมนทาม็อกซิเฟน (Tamoxifen) แคลเซียม และวิตามินรวมทุกวัน พร้อมกับการติดตามผลและฉีดยาเคลือบกระดูกทุก 6 เดือน เราก็เหมือนกับคนปกติทั่วไป จะมีบ้างก็แค่อาการวัยทอง ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลข้างเคียงจากการผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออกหมดหลังจากจบการรักษามะเร็ง เนื่องจากเราเคยรู้มาว่าผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่กินยาต้านฮอร์โมนทาม็อกซิเฟนแล้วจะมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งมดลูก เราก็ปรึกษาหมอตัดออกหมด รวมถึงไส้ติ่งด้วย (หัวเราะ) 

“ถามว่า ทุกวันนี้กลัวมะเร็งไหม? ที่ผ่านมาเราก็ไม่เคยรู้สึกกลัวมะเร็งนะ ยิ่งเราเห็นจำนวนผู้ป่วยมะเร็งที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน เช่น เพื่อนร่วมงานก็มีหลายๆ คนที่เป็นมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก ฯลฯ เราจึงมองว่ามะเร็งก็เป็นโรคชนิดหนึ่งที่รักษาได้ และแม้วันหนึ่งมะเร็งจะกลับมา เราก็พร้อมยอมรับ 

“ลึกๆ เราเชื่อว่าคนแข็งแรงย่อมได้เปรียบอยู่แล้ว ทุกวันนี้สิ่งที่เราทำได้ก็คือดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย เลือกกินอาหารที่เหมาะกับตัวเอง ถ้ามะเร็งกลับมา ก็แค่รักษากันไป อย่าไปซีเรียสกับมันมาก ใช้ชีวิตโดยลืมไปซะบ้างว่าเป็นมะเร็ง แต่อย่าถึงขั้นประมาท ใช้ชีวิตอย่างสุดโต่ง เพราะที่สุดแล้วเราต้องยอมรับว่าคนเป็นมะเร็งก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง แต่อีกหลายอย่างที่ผู้ป่วยมะเร็งก็ทำได้เหมือนคนปกติทั่วไป

“เชื่อไหมหลังจากให้คีโมเข็มที่ 4 จบไปไม่นาน เราก็ไปลงวิ่งมินิมาราธอนทั้งๆ ที่หัวยังโล้นอยู่เลย (หัวเราะ) เพราะเรารู้สึกว่า มันต้องลอง! สุดท้ายเราก็วิ่งเข้าเส้นชัยได้เหมือนคนอื่น แค่อาจจะช้าหน่อยเท่านั้นเอง ฉะนั้น อย่าเอามะเร็งมาเป็นข้อจำกัดในการใช้ชีวิต เราทุกคนสามารถใช้ชีวิตอยู่กับมะเร็งได้ แค่รักษาร่างกายและจิตใจของเราให้แข็งแรงเข้าไว้” 

มะเร็งสอนให้รู้

“เชื่อว่าคนที่เพิ่งรู้ตัวเองว่าเป็นมะเร็งจะกังวลไปก่อนสารพัด สิ่งที่อยากแนะนำก็คือ ทำใจให้ว่างเปล่า อย่ากังวลเรื่องใดๆ จากนั้นก็หาหมอที่เรามั่นใจจะฝากชีวิตไว้ แล้วก็รักษาไปตามขั้นตอนอย่างไว้วางใจ อย่าสับสน หรือดิ้นรนไปรักษาทางนั้นที ทางนี้ที เพราะไม่มีทางอื่นใดที่ทำให้เราหายจากมะเร็งได้นอกจากหมอและยาแผนปัจจุบัน 

สามี…อีกหนึ่งกำลังใจสำคัญ

“ฉะนั้นเชื่อและทำตามที่หมอบอก ส่วนผลข้างเคียงจะเกิดอะไรขึ้น อย่าเพิ่งไปกังวล ถ้าเป็นแล้วค่อยรักษาไปตามอาการ อย่าตั้งป้อมไปก่อนว่า ฉันจะต้องเป็นอย่างนี้ ฉันต้องเป็นอย่างนั้น ฯลฯ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หมอก็สามารถรักษาเราได้ มีอะไรสงสัยให้ถามหมอตรงๆ อย่ามัวแต่ไปถามกูเกิล

“สำคัญที่สุด คือ หากอยากจะรอดจากมะเร็ง ต้องรู้จักเปิดหูเปิดตา เช่น ถ้ากินไม่ได้ เบื่ออาหาร ก็ต้องหาวิธีที่ทำให้ตัวเองกินให้ได้ เพราะร่างกายจะพร้อมรับการรักษาและสู้กับโรคได้ จำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอ และเดี๋ยวนี้ก็มีอาหารทางการแพทย์มากมายให้เราเลือกซื้อหา 

“เชื่อเถอะว่ามะเร็งเป็นโรคที่รักษาได้ รู้เร็ว รักษาเร็ว ก็หายได้ หรือหากรู้ช้า แต่ตั้งใจรักษา ก็อยู่กับมันได้ มะเร็งไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด อย่างน้อยก็มีผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ยังมีลมหายใจและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข…นั่งอยู่ตรงนี้คนหนึ่ง” (ยิ้ม)

#LifeGoesOn
#เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป
#มะเร็งเต้านมรู้เร็วรักษาเร็วก็หายได้
#ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย
#TBCC

แชร์ไปยัง
Scroll to Top