“ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่คุ้มค่าพอ
จะแลกด้วยสุขภาพของเรา
นี่คือสิ่งที่เรามักบอกลูกสาวเสมอ”
เอ๋ย์-ณภัทรชนก กิติเสาวกุล ที่ปรึกษาอิสระด้านระบบ ISO 9001 วัย 53 กะรัต อดีตเวิร์กกิ้งวูแมนสายลุยขององค์กรชั้นนำด้านอสังหาริมทรัพย์มากว่า 25 ปี คุณแม่สายสตรองของลูกสาววัยใส
หลังยุติความสัมพันธ์กับอดีตสามี เธอตกลงใจให้ลูกสาวอยู่กับผู้เป็นพ่อเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก จากนั้นก็มุ่งมั่นสร้างความสำเร็จในทุกด้านของชีวิตไปพร้อมๆ กับการทำหน้าที่ ‘แม่’ อย่างดีที่สุด ก่อนจะพบรักครั้งใหม่และใช้ชีวิตในแบบที่หวังไว้ แต่เพียงไม่นานทุกอย่างก็สะดุดแทบจะหยุดลง เมื่อจู่ๆ มะเร็งก็เข้ามาเยือนแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“ราวปี 2560 ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม ลูกสาวซึ่งตอนนั้นอายุ 9 ขวบก็จะมาอยู่กับเราทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ และด้วยความที่เราเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นานเกือบ 3 ปี เราแม่ลูกจึงเป็นเหมือนเพื่อน เป็นบัดดี้ที่สนิทกันมาก ฟรีทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องอาบน้ำก็จะอาบน้ำด้วยกันเป็นประจำ
“วันนั้นเราก็อาบน้ำด้วยกัน ขณะที่เรากำลังสระผมให้เขาอยู่ หัวของเขามาโดนที่หน้าอกเรา แล้วจำได้ว่ารู้สึกเจ็บจนร้องออกมาว่า ‘อุ๊ย!’ พอคลำดูก็ไปเจอก้อน คืนนั้นจึงโทรปรึกษากับพี่สาว เขาก็แนะนำให้รีบไปตรวจอัลตราซาวนด์และแมมโมแกรมดูเพื่อความแน่ใจ วันรุ่งขึ้นเราก็ไม่รอช้า รีบไปตรวจ ปรากฏว่าพบก้อนขนาด 1.5 เซนติเมตร แต่ตอนนั้นคุณหมอไม่ได้ฟันธงว่าเป็นมะเร็ง แม้เราจะถามกลับไปว่า ‘เอาออกเลยได้ไหม’ แต่คุณหมอก็ตอบกลับมาว่า ‘มันจะเป็นรอยแผลเป็นนะ’ ด้วยความที่เราเป็นคนที่รักสวยรักงามจึงตัดสินใจปล่อยทิ้งไว้ โดยไม่ชะล่าใจเลยว่ามันจะกลายเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ให้ชีวิตเรา”
มะเร็งท้าทายชีวิต
“หลังจากกลับไปใช้ชีวิตตามปกติอยู่ 8 เดือน ก็มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลโทรมานัดให้เข้าไปตรวจติดตามผล ตอนนั้นก็เริ่มเอะใจว่า ทำไมทางโรงพยาบาลจึงเลื่อนนัดตรวจติดตามผลเร็วขึ้นจากเดิมที่นัดไว้ 1 ปี ก่อนถึงวันนัดเราจึงตัดสินใจไปหา นพ.อภิชาติ บัณฑิต ซึ่งท่านเคยรักษาและผ่าตัดก้อนเนื้อที่ลำคอให้ พอคุณหมอคลำก้อนที่หน้าอกเสร็จก็เรียกมานั่งคุยทันที ประโยคแรกที่คุณหมอบอกก็คือ ‘คุณเอ๋ย์ นี่คือลักษณะก้อนที่เป็นมะเร็งเต้านมนะ คุณเอ๋ย์รีบกลับไปใช้สิทธิ์ (ประกันกลุ่มที่ทางบริษัททำให้) ที่เดิมนะ เพราะโรคนี้ต้องรักษาตัวยาว’
“ตอนนั้นยอมรับว่าเฟลมาก แต่ก็ยังพูดกึ่งแซวคุณหมอว่า ‘แหม…คุณหมอพูดไม่ถนอมน้ำใจกันเลย’ คุณหมอจับมือแล้วตอบกลับมาตรงๆ ว่า ‘มันไม่มีเวลาแล้ว หมออยากให้คุณเอ๋ย์รีบกลับไปหาหมอวันนี้เลย’ หลังจบบทสนทนาคุณหมอก็กรุณาทำใบส่งตัว โดยระบุอย่างชัดเจนว่าต้องผ่าตัดด่วน เพื่อเป็นใบเบิกทางให้เรา
“วันนั้นเราตรงไปหาหมอที่นัดตามคำแนะนำของคุณหมออภิชาติ โดยหลังตรวจอัลตราซาวนด์และแมมโมแกรม ปรากฏว่าจากก้อน 1.5 เซนติเมตร ขยายขนาดขึ้นมาเป็น 3.5 เซนติเมตร และเคลื่อนที่จากจุดเดิมไป 45 องศา ซึ่งแน่นอนว่าต้องผ่าตัดด่วนตามที่ใบส่งตัวระบุมา โดยเราตัดสินใจผ่าตัดออกยกเต้าอย่างไม่ลังเล
“หลังผ่าตัดเสร็จ คุณหมอที่ผ่าตัดก็เข้ามาเยี่ยมไข้และถามเราว่า ‘มันมีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย อยากฟังข่าวไหนก่อน’ ตอนนั้นเราก็ตอบไปว่า ‘มาถึงขนาดนี้แล้ว เอาข่าวร้ายก่อนเลยแล้วกัน’ ข่าวร้ายก็คือคุณหมอช่วยเลาะก้อนมะเร็งและไขมันออกเกลี้ยงเพื่อเซฟเรา แต่ข้อเสียคือทิศทางของก้อนเนื้อและระยะห่างก้อนเนื้อยังไม่อยู่ในระยะที่เซฟของหมอ หนังและไขมันที่ตัดออกมามาก ทำให้หน้าอกตึงและมีความยืดหยุ่นน้อย ส่วนข่าวดีก็คือแขนขวาที่เลาะต่อมน้ำเหลืองออกไปกว่า 21 ต่อม ผลตรวจออกมาแล้ว ไม่มีการลุกลามของมะเร็ง”
ฝ่าด่านคีโม-ฉายแสง
“หนึ่งเดือนหลังการผ่าตัด เราถูกส่งตัวมารักษาต่อที่โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ ตามสิทธิ์ประกันสังคม ซึ่งโชคดีมากเพราะได้ น.อ. แพทย์หญิงหม่อมหลวงอภิรดี กฤดากร เป็นผู้ดูแลเคสต่อ หลังจากดูเอกสารผลการตรวจชิ้นเนื้อที่นำมาจากโรงพยาบาลเดิม คุณหมอก็แจ้งกึ่งให้กำลังใจว่า ‘คีโม 4 เข็ม…ชิลล์ๆ’
“เราเชื่อว่าผู้ป่วยทุกคนกลัวอาการข้างเคียงจากคีโมกันทั้งนั้น อาจจะกลัวมากกว่ามะเร็งด้วยซ้ำ เราเองก็เป็นคนหนึ่ง แต่พอผ่านมันมาได้ เราพบว่าส่วนใหญ่จิตเราปรุงแต่งจนเตลิดไปไหนไม่รู้ คิดไปเอง กลัวไปเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วทุกอย่างมันเป็นไปอย่างธรรมชาติ… ธรรมชาติของการรักษา ธรรมชาติของตัวยา ถ้าเราทำความเข้าใจ เตรียมพร้อม เราก็จะสามารถรับมือได้ไม่ยาก
“ยกตัวอย่าง คีโมเข็มแรกของเรา ด้วยความที่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกและไม่ทันได้ตั้งตัว ตอนนั้นแทบจะกอดชักโครกอาเจียนเลย (หัวเราะ) แต่พอเข็มแรกผ่านไป เราก็เริ่มตั้งหลักใหม่ กลับมาหาข้อมูลแบบละเอียดยิบจากคุณหมอ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับอดีตผู้ป่วยมะเร็งในเพจและกลุ่มมะเร็งต่างๆ จนทำให้ได้รู้ว่า เราสามารถกินยาแก้แพ้ได้ แต่ส่วนใหญ่คุณหมอจะไม่ค่อยแนะนำเพราะเป็นยาที่เบิกไม่ได้ ผู้ป่วยต้องจ่ายส่วนต่างเอง
“พอเข็มที่ 2 ก็ไม่รอช้าแจ้งอาการแพ้ต่างๆ ที่พบและขอยาแก้แพ้กับคุณหมอทันที ซึ่งเพิ่มค่าใช้จ่ายอีกนิดหน่อย แต่แลกด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดความทรมานลง เราคิดว่าคุ้มทีเดียว นอกจากนี้เรายังมีเทคนิคอีกอย่างหนึ่งคือเราจะดื่มน้ำหนึ่งขวดขนาด 600 มิลลิลิตร ก่อนจะให้คีโมทุกครั้ง พอให้คีโมเสร็จก็จะเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะ ซึ่งได้ผล นอกจากคอไม่แห้ง ปากไม่เป็นแผลแล้ว อาการต่างๆ ก็ยังเบาบางลง ทำให้คีโมเข็มที่ 2 นี้ผ่านไปอย่างไม่ยากเย็นนัก
“พอเข็มที่ 3 อาการอาเจียนแทบไม่มีเลย จะเหลือก็เพียงอาการท้องผูก ซึ่งหนักจนลมขึ้น เราก็ใช้วิธีปรับการกินอาหารมาเป็นกินผักผลไม้มากขึ้น กินน้ำให้เยอะ ก็พอจะช่วยให้ผ่านไปได้ จนเข็มที่ 4 ตอนนั้นน้ำหนักตัวจาก 52 กิโลกรัม ลดลงมาเหลือแค่ 47 กิโลกรัม แม้จะโด๊ปไข่ขาววันละ 6-8 ฟอง และพยายามกินให้ได้มากที่สุดก็ตาม
“โชคยังดีที่ค่าเลือดผ่านเกณฑ์ทุกครั้ง แม้จะเกินเกณฑ์มาไม่มากเท่าไร แต่อย่างน้อยก็สามารถให้คีโมได้ โดยไม่ต้องเลื่อนการรักษาออกไป และที่โชคดีที่สุดก็คือเราให้คีโมแค่ 4 เข็ม เพราะถ้าเพิ่มมาอีก 2 เข็ม เราคิดว่าร่างกายเราคงไม่ไหวแน่ๆ (หัวเราะ)
“นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณหมอจึงพยายามเตือนให้เราตรวจสุขภาพกันอย่างสม่ำเสมอ เพราะมะเร็งรู้เร็ว รักษาเร็ว นอกจากโอกาสหายขาดจะเพิ่มขึ้นแล้ว การรักษาก็ยิ่งง่ายขึ้น จำนวนเข็มของการให้คีโมก็ลดลง โดยหลังจบกระบวนการให้คีโมก็เข้าสู่การรักษาด้วยการฉายแสง ตอนนั้นได้ น.ต. แพทย์หญิงกนกพิศ โตวนำชัย ซึ่งท่านเชี่ยวชาญด้านรังสีรักษาและมะเร็งวิทยามารับช่วงดูแลเคสต่อ โดยขณะที่คีโมนั้นท่านก็จะคอยมาดูแลประกบตลอด เพื่อติดตามผลและประเมินอาการ และสรุปว่าเราต้องฉายแสงอย่างต่อเนื่องทุกวัน 25 แสง ก็เป็นอันจบการรักษา รวมระยะเวลารักษามะเร็งไปกว่า 6 เดือนเต็ม”
การรักษาจบ แต่ชีวิตยังถูกท้าทายไม่จบ
“หลังการรักษาจบลง เรากลับมาฟื้นฟูตัวเองอยู่เกือบปี หนักสุดก็คือ ‘ใจตัวเอง’ เพราะระหว่างการรักษาตัวนั้น ชีวิตรักเริ่มสั่นคลอน ทำให้นอกจากเราต้องต่อสู้กับโรคแล้ว เราก็ต้องมาจัดการกับเรื่องของหัวใจอย่างหนัก จำได้ว่าบางคืนที่นอนไม่หลับจากอาการข้างเคียงของคีโม เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว กระวนกระวาย ทำอย่างไรก็ไม่หลับ ทั้งสวดมนต์ นั่งสมาธิก็ยังไม่ช่วยอะไร สุดท้ายต้องใช้วิธีขับรถออกจากบ้านไปเรื่อยๆ เพื่อบรรเทาอาการว้าวุ่น ฟุ้งซ่านของตัวเอง พอเพลียๆ จึงกลับมานอน แต่นอนได้ยาวที่สุดแค่ 45 นาทีก็ตื่น
“จากที่คิดว่าคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการเป็นมะเร็งแล้ว แต่พอมาเจอปัญหาชีวิตรัก เรารู้สึกเลยว่ามะเร็งก็ไม่ได้แย่ที่สุด และโชคดีมากที่ ‘พี่สาว’ ซึ่งเป็นเสมือนแม่คนที่สองเข้ามาช่วยดูแล รับ-ส่งระหว่างการให้คีโม คอยปลอบประโลม ให้กำลังใจ ให้แง่คิดต่างๆ จนเริ่มแข็งแรงขึ้น และนั่นเองที่ทำให้เรารู้ซึ้งถึงคุณค่าของการมี ‘ครอบครัว’ ที่ช่วยให้เราผ่านปัญหาต่างๆ นานาแบบไม่โดดเดี่ยวเกินไป
“หลังลาพักตามสิทธิ์ประกันสังคม 1 เดือนผ่านไป เราก็กลับไปทำงานตามปกติ พอปี 2564 ด้วยสถานการณ์โควิดที่ไม่มีทีท่าจะจบลงง่ายๆ ทางบริษัทจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่เพื่อรับมือ โดยนโยบายแรกที่ออกมาก็คือลดพนักงานเงินเดือนสูง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราอยู่ในกลุ่มของพนักงานที่บริษัทเลิกจ้างกลุ่มแรก แม้จะใจหายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าการมองให้เห็น ‘ข้อดี’ จากสถานการณ์นี้ก็คือเราได้ใช้ชีวิตอิสระมากขึ้น ดูแลตัวเองได้อย่างเต็มที่ และสามารถบริหารจัดการเวลางานและชีวิตได้อย่างลงตัวขึ้น ไม่ต้องรีบตื่น รีบนอน รีบทำนั่นทำนี่ จนหลงลืมสุขภาพตัวเอง”
ในดีมีร้าย…ในร้ายมีดี
“สมัยที่ยังทำงานในออฟฟิศ แม้เราจะเป็นคนรักสุขภาพ ทั้งออกกำลังกาย ตรวจสุขภาพประจำปี และเลือกรับประทานอาหารดีๆ แค่ไหน สุดท้ายสิ่งที่เราทำไม่ได้เลยก็คือเรื่องพักผ่อน ทั้งงานและความเครียดสะสมทำให้แต่ละวันเรานอนแค่ 3-5 ชั่วโมงเท่านั้น เป็นอย่างนั้นอยู่นานหลายปี–นั่นอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่ง
“พอตอนมีลูก ด้วยความที่ตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยมที่จะเป็นคุณแม่วัย 38 ปี ที่ให้นมลูกเองแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เราทำทุกวิถีทางที่จะให้นมลูกให้ได้ ใครบอกวิธีอะไรมาทำหมด เช่น เขาบอกให้กินน้ำเต้าหู้จะช่วยเพิ่มน้ำนม เราก็โด๊ปทุกวัน วันละ 3 ถุง, เขาบอกให้กินน้ำอุ่นๆ ช่วยได้ ก็ใช้วิธีซด ‘น้ำซุป’ ในทุกมื้ออาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารตามร้าน หรือข้างทางก็ขอน้ำซุปมากินคู่กับข้าวทุกมื้อ โดยไม่รู้เลยว่าในน้ำซุปรสอร่อยนั้นแฝงอันตรายจากสารเคมีปรุงแต่งรสมากมาย ทำอย่างนั้นอยู่ 3 ปีเต็ม วันหนึ่งก็ไปพบว่าตัวเองมีก้อนที่คอ จึงรีบไปตรวจ ตอนนั้นคุณหมอก็แนะนำให้ดูดน้ำออกก่อน แต่ปรากฏว่าพอดูดน้ำออกแล้วก้อนที่ควรจะยุบกลับไม่ยุบ แถมยังกลายเป็นไตแข็งๆ จึงตัดสินใจผ่าตัดออกและนำก้อนเนื้อไปตรวจตามคำแนะนำของคุณหมอ โชคดีที่ตอนนั้นเป็นก้อนเนื้อธรรมดาๆ ไม่ได้เป็นมะเร็ง แม้ตอนนั้นจะรู้สึกว่าโชคดีที่เอาก้อนเนื้อนั้นออกทันก่อนที่จะกลายเป็นเนื้อร้าย แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น มาลงที่เต้านมอยู่ดี
“อย่างที่เขาบอกว่า ในดีมีร้าย…ในร้ายก็มีดี จำได้ว่าปีที่เราเจอมะเร็ง ปีนั้นไม่ว่าไปไหนมาไหนก็มักจะมีแต่คนทักเราว่าไปทำอะไรมา กินอาหารเสริมอะไร ทำไมดูสวยสะพรั่งผิดปกติ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นวัยของการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน หรือเรียกง่ายๆ ว่า ฮอร์โมนสวิง ก็เป็นเรื่องแปลกที่อยากฝากเป็นอุทาหรณ์ถึงสาวๆ ว่าอย่าชะล่าใจในเรื่องสุขภาพเด็ดขาด หากมีอะไรผิดปกติ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจทันที ท่องไว้ว่า สุขภาพของเรา…รู้ดีกว่าไม่รู้”
มะเร็งคือครูสอนชีวิต
“มะเร็งเปรียบเสมือนครูที่เข้ามาสอนเรื่องการใช้ชีวิต ถ้ามะเร็งไม่เข้ามา…วันนี้เราก็คงยังใช้ชีวิตแบบสุดโต่ง อยู่กับความเร็ว เร่งรีบในทุกๆ เรื่อง รีบกิน รีบนอน รีบตื่น รีบทำนั่นทำนี่ ฯลฯ เรียกว่าเป็นคนที่รอไม่เป็น เย็นไม่ได้ อะไรทำนองนั้นเลย จำได้ว่าตอนที่ทำงานในองค์กร ลูกน้องทุกคนจะกลัวเราตามงานมากกกกก… (หัวเราะ) แต่พอมะเร็งเข้ามา ทุกอย่างชะลอตัวลง ข้อดีก็คือเราได้กลับมาทบทวนสิ่งต่างๆ ในชีวิต ได้เห็นถึงความประมาท ชะล่าใจของตัวเองหลายๆ อย่าง รวมถึงเห็นความผิดพลาดที่เคยทำไว้ในอดีต
“จำได้ว่าในวันที่ฉายแสงวันสุดท้าย ขณะที่เรากำลังขับรถกลับออฟฟิศเพื่อทำงานต่อ วันนั้นเกิดอาการเหมือนจะเป็นลมจนต้องจอดรถ แต่แทนที่จะนอนพักให้หาย เรากลับใช้เวลานี้โทรศัพท์หาคนที่เราเคยทำผิดพลาดกับเขาไว้ ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน หรือแม้กระทั่งอดีตสามี เพื่อขออโหสิในสิ่งที่เราเคยทำไม่ดีกับเขาไว้ เพราะตอนนั้นเรารู้สึกว่า…
“ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น
และเราก็ไม่รู้ว่าจะอยู่บนโลกนี้ได้นานเท่าไร
จึงอยากทำในสิ่งที่ยังติดค้างคาใจอยู่”
“นอกจากนี้ มะเร็งยังเข้ามาฝึกให้เราอดทน เพื่อผ่านช่วงเวลาของการรักษา ฝึกให้เรารู้จักการรอคอย รอ รอ รอ…รอฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง และยังเป็นเหมือนเครื่องเตือนสติให้เราไม่ประมาท ชะล่าใจในทุกๆ เรื่องของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพหรือความสุข
“จากเมื่อก่อนความสุขของเราขึ้นอยู่สิ่งภายนอกหมดเลย อยู่ที่คนรัก อยู่ที่หน้าที่การงาน อยู่ที่ความสำเร็จ ชื่อเสียง เงินทอง ฯลฯ แต่พอมะเร็งเข้ามา เราจึงได้รู้ว่า ไม่มีความสุขไหนที่จะสุขใจได้เท่าความสุขที่เราสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง สุขจากข้างใน สุขกับสิ่งเล็กๆ ง่ายๆ สุขให้ได้…ด้วยตัวเราเอง”
ตำราเล่มใหญ่ของลูกรัก
“ทุกวันนี้ เราขอบคุณมะเร็งเสมอที่เข้ามาเป็นบทเรียน ไม่ใช่แค่เรา แต่ยังเป็นบทเรียนให้ลูกสาว ซึ่งเขาได้เห็นทุกอย่าง เขาเห็นเราในสภาพคนป่วย ผอม ดำ หัวโล้น นั่งกอดชักโครกอาเจียน ถามว่าเสียใจไหม เขาก็คงเสียใจ เพียงแต่เขาไม่พูด แม้จะหนักหน่วงมากสำหรับเด็กผู้หญิงวัยเพียง 8-9 ขวบ แต่เราเชื่อว่านั่นคือตำราชีวิตเล่มใหญ่ให้เขาได้เรียนรู้ว่า สุขภาพนั้นสำคัญที่สุด–โดยที่เราไม่ต้องพร่ำสอนซ้ำๆ
“ฉะนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม อย่าบอกว่าไม่มีเวลาดูแลสุขภาพตัวเอง อย่าบอกว่าไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่มีเวลาทำอาหารดีๆ เพื่อตัวเอง ไม่มีเวลาดื่มน้ำเยอะๆ ไม่มีเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อน…ให้เวลากับตัวเองตั้งแต่วันที่ยังมีโอกาส นี่คือสิ่งที่เราอยากจะบอก ไม่ใช่แค่ลูกสาว แต่ฝากถึงสาวๆ ทุกคนที่ยังอยู่ในวัยทำงาน ตามล่าหาความฝัน ความสำเร็จ อย่าลืมว่า สุขภาพของเรานั้น…สำคัญที่สุด
“เวลางานจงทำงานอย่างเต็มที่ แต่เมื่อไรที่เลิกงาน จงวางงาน วางความเครียด วางทุกอย่างไว้ที่ออฟฟิศ แล้วกลับไปใช้ชีวิตอย่างคนไม่ป่วย ที่สำคัญที่สุด อย่าคาดหวังว่า ‘คนรัก’ ที่นอนข้างๆ คุณอยู่ทุกวันจะอยู่กับคุณในวันที่คุณป่วย เพราะมันไม่ใช่ทุกคน โอกาสมีเพียง 50-50 ฉะนั้น ดูแลตัวเองให้แข็งแรงทั้งกายและใจ และเมื่อไรที่โรคร้ายเข้ามาทักทาย ก็แค่ยิ้มรับและบอกกับตัวเองว่า ครูกำลังมาหาเราแล้ว อย่ากลัว แต่เตรียมตัวให้พร้อมกับการเรียนรู้ในสิ่งที่ครูกำลังจะสอนและเตือนเรา”
#มะเร็งเต้านมรู้เร็วรักษาเร็วก็หายได้
#เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป
#TBCCLifegoeson
#ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย
คุณแม่…อีกหนึ่งกำลังใจสำคัญ