เพราะทะเลเยียวยาได้ทุกสิ่ง...
เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากผลงานวิจัยหลายสำนัก หนึ่งในนั้นก็คืองานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยาสิ่งแวดล้อม ผลงานโดย ดร.เจ. แอรอน ฮิปป์ (Dr. J. Aaron Hipp) ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมจากนิวยอร์ก ซึ่งยืนยันว่า การอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอย่างทะเลหรือชายหาดจะช่วยฟื้นฟูร่างกายและผ่อนคลายความเครียดได้ เพราะฮอร์โมนแห่งความสุขอย่าง ‘เซโรโทนิน’ (Serotonin) จะถูกหลั่งออกมา ส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าไปยิมหรือเดินเที่ยวชมเมือง โดยทะเลในวันที่อากาศดี แสงแดดอุ่น คลื่นลมไม่แรง ช่วยให้คนเรารู้สึกได้รับการเยียวยามากกว่าทะเลในวันที่สภาพอากาศไม่ดีถึง 30 เปอร์เซ็นต์
“ทั้งแสงแดดและเกลียวคลื่น
ทำให้ร่างกายของเราผ่อนคลายอย่างแท้จริง
ช่วยคลายความเจ็บปวด และขจัดความเครียดในชีวิตประจำวัน
ไม่เพียงเพราะเซโรโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข
และความผ่อนคลายถูกหลั่งออกมาทันทีที่ถึงชายหาด
แต่รวมถึงภาพของเกลียวคลื่นและเสียงจากทะเล
ที่ช่วยทำให้เรารู้สึกสงบมากขึ้น”
เช่นเดียวกับ ออร์ฟิว บักซ์ตัน (Orfeu Buxton) รองศาสตราจารย์ด้านสุขภาพพฤติกรรมทางชีวภาพแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งยืนยันไปในทางเดียวกันว่า สมองของคนเรานั้นมีการประมวลผลและตีความเสียงต่างๆ ที่ได้ยินว่าเป็นภัยคุกคามต่อเราหรือไม่ ซึ่งนอกจากเสียงคลื่นทะเลจะไม่ใช่ภัยคุกคามในความรู้สึกของคนเราแล้ว เสียงของคลื่นทะเลยังมีการไล่ระดับความดังและมีจังหวะสม่ำเสมอ เมื่อเราได้ฟังนานๆ ก็รู้สึกคุ้นชินและเผลอเพลิดเพลินจนลืมไปว่ากำลังได้ยินเสียงคลื่นอยู่
นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของประโยชน์อีกมากมายที่เราจะได้รับเมื่อเราไปทะเล ไม่ว่าจะสุข จะเศร้า คนแข็งแรงหรือคนอ่อนแอ คนปกติหรือคนป่วย ทะเลนับเป็นสถานที่เยียวยาใจ บำบัดกาย ฟื้นฟูได้ทั้งภายในและภายนอกอย่างมหัศจรรย์ จึงไม่แปลกที่ ลอร่า เฟลมมิง (Lora Fleming) นักระบาดวิทยาแห่ง University of Exeter ประเทศอังกฤษ ค้นพบหลักฐานว่า แพทย์ในศตวรรษที่ 18 มักเขียนใบสั่งยาให้คนไข้ ‘ไปเที่ยวทะล’ หรือไป ‘โรงพยาบาลสรง’ ซึ่งเป็นคลินิกพิเศษที่ใช้การรักษาด้วยการอาบน้ำทะเลเพื่อบำบัดรักษาโรค วันนี้ TBCC จึงขอรวบรวม ‘ข้อดี’ ที่เราจะได้รับจากการไปทะเลมาฝากกัน
1. เสียงคลื่นฮีลใจ
- เสียงนาฬิกาปลุก
- เสียงกรีดร้อง
- เสียงตะโกน
- เสียงฟ้าร้อง-ฟ้าผ่า
เสียงเหล่านี้มักดังขึ้นแบบที่เราไม่ทันตั้งตัว และรูปแบบที่ดังจากความเงียบไปสู่ความดังระดับสูง สมองของเราจะจัดว่าเสียงรูปแบบนี้เป็นเสียงที่แสดงถึงภัยคุกคามและร่างกายต้องตื่นตัว ตกใจ ตรงกันข้ามกับเสียง ‘คลื่น’ ที่อยู่ในความดังระดับเบาปานกลางถึงต่ำ และเป็นรูปแบบเสียงที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย ซึ่งสมองของเราจะจัดให้เสียงคลื่นนี้ไม่ใช่เสียงภัยคุกคาม แต่เป็นเสียงแห่งความปลอดภัย ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย จิตใจสงบ เกิดสมาธิ ที่สำคัญยังช่วยให้เราหลับได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ การไล่ระดับของเสียงคลื่นทะเลจากดังมาเบา และเบาไปดัง ช่วยกระตุ้นการทำงานของพาราซิมพาเทติก (Parasympathetic Nervous System) หรือระบบประสาทที่ทำงานในสภาวะพักของร่างกาย คล้ายตอนเรานอนหลับพักผ่อน ซึ่งหัวใจก็จะเต้นเบาลง สมองทำงานช้าลง กล้ามเนื้อหูรูดในระบบทางเดินอาหารและทางเดินปัสสาวะผ่อนคลายลง เพิ่มการทำงานของลำไส้และต่อมต่างๆ ช่วยควบคุมการทำงานพื้นฐานของร่างกายให้เกิดความสมดุล และทำให้ร่างกายของเราผ่อนคลายมากขึ้น
“เสียงที่ดังแบบช้าๆ ไม่กระแทกหู
เสียงแบบอ่อนๆ เป็นเสียงที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสงบ
เหมือนกับมีคนมาพูดกับเราว่า
‘don’t worry, don’t worry’ เลยก็ว่าได้”
.
– รองศาสตราจารย์ออร์ฟิว บักซ์ตัน –
2. สีฟ้าเยียวยากาย
ริชาร์ด ชูสเตอร์ (Richard Shuster) นักจิตวิทยา พิธีกรรายการทาง Podcast อย่าง The Daily Helping เคยกล่าวไว้ว่า สีฟ้าแห่งท้องทะเลนั้นเชื่อมโยงกับความรู้สึกสงบ สันติ และผ่อนคลาย การจ้องมองที่น้ำทะเลนั้นสามารถเปลี่ยนความถี่ของคลื่นสมองของคนเราให้อยู่ในสภาวะที่มีสมาธิขึ้น
การนั่งบนชายหาดและมองออกไปยังท้องทะเลสีฟ้าไกลสุดลูกหูลูกตาจึงถือเป็นการพักสายตาจากความเหนื่อยล้าได้อย่างดีเยี่ยม ในทางจิตวิทยาพบว่าสีฟ้าเป็นสีสันที่ช่วยเยียวยาสุขภาพจิตได้ดี เช่นเดียวกับการค้นพบในศาสตร์แห่งสีบำบัด หรือ Color Therapy ที่พบว่าสีฟ้านั้นนอกจากจะทำให้จิตใจของคนเราสงบเยือกเย็น เป็นอิสระ ปลอดโปร่ง สบาย ปลอดภัย และช่วยระงับความกระวนกระวายในใจได้อย่างอยู่หมัดแล้ว พลังของสีฟ้ายังช่วยบรรเทาอาการของโรคปอด ลดอัตราการเผาผลาญพลังงาน รักษาอาการเจ็บคอ และทำให้ชีพจรของเราเต้นเป็นปกติอีกด้วย
3. ชายหาดบำบัดข้างใน
เพราะเท้าของเราเต็มไปด้วยเส้นประสาทและจุดพลังงานของร่างกาย หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘จุดฝังเข็ม’ (acupuncture point) นั่นทำให้ ‘การเดินเท้าเปล่า’ บนชายหาดนั้นมีประโยชน์มากมาย และไม่เพียงแค่สุขภาพ แต่ยังเยียวยาไปถึงจิตวิญญาณภายในได้อีกด้วย
ในปัจจุบันการแพทย์สมัยใหม่เริ่มค้นพบว่า สภาพแวดล้อมธรรมชาติเป็นยาชนิดหนึ่ง (Environmental Medicine) ช่วยรักษาโรคที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อได้ ยืนยันด้วยการทดลองให้กลุ่มตัวอย่างเดินเท้าเปล่าเพื่อให้ฝ่าเท้าสัมผัสพื้นดินเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 30 นาที พบว่าผลการทดลองให้ผลบวกในการฟื้นฟูร่างกายอย่างมีนัยสำคัญ เช่น
- ทำให้หลับสบาย
- ความเครียดลดลง
- ลดอาการเจ็บปวดเรื้อรัง
- การทำงานของระบบประสาทสั่งการอัตโนมัติดีขึ้น
- ช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเซโรโทนินอีกด้วย
เช่นเดียวกับบทความใน Journal of Alternative and Complementary Medicine ที่อธิบายว่า โลกของเรานั้นมีประจุลบ นั่นทำให้เมื่อเราเดินด้วยเท้าเปล่าเท่ากับว่าร่างกายของเรากำลังเชื่อมต่ออยู่กับแหล่งพลังงานที่มีประจุลบ ทำให้รู้สึกถึงความผ่อนคลายและอบอุ่นทันทีที่ได้ถอดรองเท้าแล้วย่ำลงไปบนพื้นของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพื้นทรายบนชายหาด พื้นดิน รวมไปถึงพื้นหญ้าด้วย นอกจากนี้ เท้าของเรายังสามารถดูดซับ ‘ไอออนอิสระ’ บนพื้นผิวโลกในลักษณะเดียวกับที่ปอดดูดซับไอออนในอากาศได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังพบว่าเม็ดทรายเม็ดเล็กๆ บนชายหาดมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นรักษา บรรเทา หรือปรับระบบการทำงานของร่างกายได้ดีขึ้น เพราะเม็ดทรายนั้นประกอบไปด้วยสารซิลิเกต แคลเซียมคาร์บอเนต ฟอสเฟส กำมะถัน ฯลฯ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยดูดซับสารพิษ กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต รวมถึงเป็นสปาชั้นดี ไม่เชื่อก็ลองลงเล่นน้ำทะเลสัก 30 นาที ดูสิ เล็บเท้ารวมถึงส้นเท้าของเราจะขาวสะอาดคล้ายกับไปสปามายังไงยังงั้นเลยทีเดียว
4. กลิ่นอายทะเลช่วยให้ผ่อนคลาย
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า อากาศเจือกลิ่นเค็มของท้องทะเลนี้ส่งผลดีต่อระบบทางเดินหายใจของคนเราอย่างมาก เพราะอากาศริมทะเลนั้นเต็มไปด้วยไอโอดีน แมกนีเซียม และธาตุอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่าการสูดอากาศที่ริมทะเลนั้นทำให้เรารู้สึกสดชื่น สมองปลอดโปร่งได้ทันที เพราะสมองของคนเราจะได้รับ ‘ไอออนลบ’ ซึ่งเป็นไอออนที่เกิดมาจากการแตกตัวของไอน้ำทะเล และไอออนลบนี้เองจะสร้างปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่ไปเพิ่มระดับเซโรโทนินหรือฮอร์โมนแห่งความสุข ทำให้เราสดชื่น ผ่อนคลายแล้ว ยังช่วยบรรเทาอาการของโรคได้หลายโรค เช่น
- โรคซึมเศร้าตามฤดูกาล (Seasonal Affective Disorder : S.A.D.) อาการเศร้าซึมในช่วงที่มีการเปลี่ยนฤดูกาล โดยมากมักเป็นกันในช่วงฤดูหนาว โดยไอออนลบจะช่วยกระตุ้นร่างกายของคนเราให้หลั่งฮอร์โมนเซโรโทนิน ซึ่งช่วยลดอาการซึมเศร้าลง ช่วยให้สมองกระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉง และลดภาวะซึมเศร้าได้
- โรคหอบหืด หลอดลมอักเสบ ไซนัสอักเสบ ภูมิแพ้ อาการไอเรื้อรัง ยังได้รับการบรรเทาได้ด้วยการย้ายมานอนริมทะเลสักคืนสองคืน จะพบว่าจมูกโล่ง หายใจสะดวกขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
5. น้ำทะเลคืนความสมดุล
อย่างที่รู้กันดีว่า ในน้ำทะเลนั้นเต็มไปด้วยแร่ธาตุที่สามารถรักษาโรคผิวหนัง ช่วยสมานแผล บรรเทาอาการผิวหนังอักเสบ และช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวได้เป็นอย่างดี รวมถึงการแหวกว่ายในน้ำทะเลยังช่วยรักษาโรคกล้ามเนื้ออักเสบ ช่วยบำบัดโรคที่เกี่ยวกับออฟฟิศซินโดรมได้อีกด้วย หรือสำหรับคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น แค่เดินเล่นในน้ำทะเลที่ไม่ลึกก็ยังช่วยบริหารและผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้อีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น การว่ายน้ำทะเลเป็นประจำยังช่วยสร้างสมดุลให้ระบบภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายได้ เรื่องนี้ยืนยันด้วยศาสตร์น้ำทะเลบำบัด (Thalassotherapy) ซึ่งเป็นศาสตร์เก่าแก่สมัยโรมันและได้รับความนิยมเรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 19 โดยเชื่อกันว่า น้ำทะเลสามารถบำบัดความเจ็บป่วยต่างๆ ได้ ด้วยแร่ธาตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแมกนีเซียม โพแทสเซียม แคลเซียม โซเดียม และไอโอดีนในน้ำทะเล ซึ่งมีประโยชน์ต่อมนุษย์เราอย่างมหาศาล
นอกจากนี้ยังมีผลวิจัยยืนยันว่า ระดับเซลล์เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวสามารถเพิ่มขึ้นกว่า 5-20 เปอร์เซ็นต์ หลังจากได้ว่ายหรืออาบน้ำทะเล และการแช่น้ำทะเลเป็นระยะเวลาที่มากพอยังช่วยระบบหมุนเวียนเลือดภายในร่างกายได้อีกด้วย
6. ซีฟู้ดอร่อยได้สุขภาพ
นอกจากรสชาติที่อร่อยล้ำแล้ว ซีฟู้ดยังถือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพหากรู้จักเลือกรับประทานให้เหมาะสม เพราะอาหารทะเลนั้นถือเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีและเปี่ยมไปด้วยไอโดดีน โอเมกา 3 วิตามิน B12 สังกะสี เป็นต้น
ที่สำคัญผู้ป่วยมะเร็งสามารถรับประทานอาหารทะเลได้ แต่หากอยู่ระหว่างการรับยาเคมีบำบัดหรือฉายแสงอยู่ อาจจะต้องเลือกรับประทานอาหารทะเลที่ใหม่ สด สะอาด และปรุงสุกเท่านั้น เพราะเป็นช่วงที่ภูมิต้านทานในร่างกายต่ำ การรับประทานสุกๆ ดิบๆ อาจจะทำให้เกิดภาวะท้องเสียหรืออาการแทรกซ้อนได้ ข้อควรระวัง! สำหรับผู้ป่วยมะเร็งไทรอยด์จำเป็นต้องงดอาหารทะเลก่อนการกลืนแร่ เนื่องจากในอาหารทะเลมีไอโอดีน ซึ่งอาจจะไปแย่งจับไอโอดีนจากแร่ที่กลืนได้ แต่หลังจากจบการรักษาแล้วก็สามารถรับประทานอาหารทะเลได้ตามปกติ
มาถึงบรรทัดนี้ เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงเตรียมลางานวางแผนเที่ยวกันในวันหยุดยาวส่งท้ายปีนี้แล้วใช่ไหม TBCC อยากให้ ‘ทะเล’ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก เพราะจริงๆ แล้วทะเลหน้าหนาวก็สวยไม่แพ้หน้าไหนๆ เลย โดยเฉพาะทะเลอันดามัน เช่น ภูเก็ต กระบี่ พังงา ตรัง ฯลฯ ทะเลอ่าวไทยตอนบน เช่น เกาะสมุย เกาะพงัน เกาะเต่า เกาะนางยวน ฯลฯ รวมถึงทะเลอ่าวไทยตอนล่าง เช่น ชะอำ หัวหิน ฯลฯ และทะเลตะวันออก เช่น พัทยา เกาะล้าน เกาะเสม็ด เกาะช้าง เกาะกูด เกาะหมาก ฯลฯ อย่างไร อย่าลืมเก็บภาพมาฝาก TBCC บ้าง ทีมงานทุกคนรอชมรอยยิ้มของทุกๆ คนอยู่น้า…
.
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://themomentum.co
www.creativethailand.org
https://adaymagazine.com
www.thairath.co.th
https://pharm.tu.ac.th
https://www.thaihealth.or.th
www.healthaddict.com
https://onceinlife.co
https://cheewajit.com
https://readthecloud.co
www.thairath.co.th