กินน้ำตาลแล้ว ทำให้มะเร็งโตจริงไหม

‘น้ำตาล’ นั้นถือเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกาย ทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ เช่น เบาหวาน หัวใจ และหลอดเลือด ล้วนเป็นปัจจัยที่เพิ่มอัตราการเสียชีวิต สำคัญกว่านั้นน้ำตาลยังทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น จนอาจจะกลายเป็นโรคอ้วน และโรคอ้วนนี่เองที่เป็นสาเหตุของการกระตุ้นมะเร็งเต้านมปัจจัยหนึ่ง

แต่หากถามว่า กินน้ำตาลแล้ว ทำให้มะเร็งโตจริงไหม? โดยหลักแล้วเซลล์ใดก็ตามที่เจริญเติบโตได้ไว จะมีนิสัยที่ต้องการ‘น้ำตาล’ เข้าไปเป็นพลังงานก่อน ดังนั้น มะเร็งคือเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วผิดปกติ และโดยเฉพาะในสภาวะขาดออกซิเจนจะมีการใช้น้ำตาลได้เร็วกว่าเซลล์ปกติ แต่ไม่ใช่แค่เพียงน้ำตาลเท่านั้น เพราะสารอาหารอื่นๆ เซลล์มะเร็งก็สามารถใช้ได้

สารอาหารทุกอย่างสามารถวิ่งเข้าไปเป็นอาหารของเซลล์มะเร็งได้ทั้งหมด ดังนั้น ถ้าถามว่า น้ำตาลเป็นอาหารทำให้มะเร็งโตจริงไหม ก็ต้องตอบว่า จริง แต่ไม่ใช่เพียงแค่น้ำตาลเท่านั้น โปรตีนและคาร์โบไฮเดรตตัวอื่นๆ ก็เป็นอาหารของมะเร็งได้ ฉะนั้น เป็นมะเร็งแล้ว ไม่จำเป็นต้องงดทานน้ำตาลไปเลยผู้ป่วยยังคงทานน้ำตาลได้ เพียงแต่ให้เดินบนทางสายกลาง คือ ทานไม่มากเกินไป เน้นถ้าเลี่ยงน้ำตาลที่เติมเข้าไปเพิ่มในอาหารได้ก็เลี่ยง เพราะยังไม่มีแนวปฏิบัติที่ชัดเจนว่า ผู้ป่วยมะเร็งต้องทานน้ำตาลน้อยกว่าคนปกติหรือไม่เท่าใด แต่ให้ยึดหลัก ‘เลี่ยงได้เลี่ยง หลีกได้หลีก’ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ควรทานน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน หรือรักษาระดับน้ำตาลในเลือด (Fasting blood sugar : FBS) ไม่ควรเกินกว่า 100 mg/dl และถ้าเป็นน้ำตาลสะสมไม่ควรเกินกว่า 5.7 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ามีโรคเบาหวานหรืออายุมากขึ้นและมีโรคร่วมอื่นร่วม ค่าตัวนี้จะเปลี่ยนไป ซึ่งสามารถสอบถามจากแพทย์ที่ทำการรักษา

อีกวิธีที่ใช้กันมากในปัจจุบันคือการใช้สารให้ความหวาน เช่น  aspartame, sucralose, Acesulfame K เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด แต่ จะดีต่อสุขภาพหรือไม่ นั้น ปัจจุบันยังเป็นที่ถกเถียงในเรื่องปริมาณและการรับประทาน ฉะนั้น แนะนำให้ยึดหลักอย่าทานเครื่องดื่มที่ใส่สารให้ความหวานพวกนี้แทนน้ำเปล่าครับ ดื่มเมื่ออยากได้ความหวานทดแทนเป็นบางครั้งได้ครับ หรืออาจจะเลี่ยงไปเลือกรับประทานสารให้ความหวานจากธรรมชาติจาก ‘หญ้าหวาน’ ที่ไม่กระทบต่อระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วย หรือแม้กระทั่งสารให้ความหวานจากหล่อฮังก้วย และน้ำตาลอิริทริทอล (Erythritol) ก็สามารถเลือกใช้ได้เหมือนกัน

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ อาจจะช่วยอะไรไม่ได้เลย หากเรายัง ‘ติดรสหวาน’ อยู่ เพราะสารให้ความหวานต่างๆ นี้ ไม่ได้การันตีว่าเราจะไม่เป็นโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกิน อันจะเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆ รวมถึงโรคมะเร็ง ฉะนั้น ลองสังเกตตัวเองดูว่า เรานั้นติดรสหวานมากไปหรือเปล่า เช่น กินอะไรก็ต้องเติมน้ำตาลเสมอ หรือต้องการทานของหวานๆ ตลอดเวลา และหากไม่ทานของหวานแล้วจะมีอารมณ์หงุดหงิด เหล่านี้ล้วนเป็นอาการของการติดรสหวาน ซึ่งไม่อาจแก้ไขได้ด้วยสารให้ความหวานใดๆ เลย เพราะยิ่งใช้สารให้ความหวานปรุงอาหาร เพื่อหลีกเลี่ยงการบริโภคน้ำตาลมากเท่าไร นั่นก็ยิ่งทำให้เราติดหวานไปเรื่อยๆ ทางที่ดีจึงใช้สารให้ความหวานเพียงชั่วครั้งชั่วคราว และหันไปแก้ที่อาการติดรสหวานของตัวเองดีกว่า

โดยวิธีแก้อาการติดรสหวานเพื่อให้เราห่างไกลโรคต่างๆ ได้ ก็คือการบริโภคน้ำตาลอย่างมีสติ โดยรู้เสมอว่าเมื่อเรานอนน้อยและเครียดจากงานร่างกายจะอยากน้ำตาลมากขึ้น จึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงการนอนน้อย รู้จักบริหารความเครียด รวมถึงการออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลดีขึ้น และต้องออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (cardio exercise) และสร้างกล้ามเนื้อไปด้วย ทุกครั้งที่รู้สึกว่าตนเองทานหวานมากขึ้น ให้ออกกำลังกายช่วย เหมือนการชดเชยร่างกายที่ได้ทำผิดลงไป

นอกจากนี้ ควรเลือกทานผักและผลไม้ที่มีสีหลากสี และระมัดระวังการทานผลไม้หวานจัด เพราะผลไม้ก็คือแหล่งของน้ำตาล บางครั้งหนีการกินน้ำตาลอื่น แต่มาติดความหวานผลไม้แทน ก็ไม่ใช่ทางแก้ที่ถูกต้อง และหากเป็นไปได้ ควรหันมาทำกับข้าวและปรุงอาหารทานเอง ตวงเครื่องปรุงน้ำตาลเอาไว้ว่า ไม่ว่าจะทำกับข้าวอะไรก็ตาม เรามีโควตาใช้น้ำตาลได้แค่ 6 ช้อนชาต่อวันเท่านั้น ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างอยู่หมัด

ดร.กมล ไชยสิทธิ์
อุปนายกสมาคมโภชนาการและสมุนไพรเชิงบูรณาการ
แชร์ไปยัง
Scroll to Top