5 ข้อดีที่มี ‘เหมียว’ ไว้กอด

อย่างที่รู้ๆ กันดีว่าอานุภาพแห่งการกอดนั้นมหาศาล ยิ่งเป็นการกอดเพื่อนรักที่แสนดีและมีขนอย่างเจ้าเหมียวด้วยแล้ว ยิ่งให้ประโยชน์จนเราคาดไม่ถึง และเพื่อเป็นการต้อนรับ ‘วันกอดแมวสากล’ (National Hug Your Cat Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 4 มิถุนายนนี้ TBCC จึงอยากชวนพลพรรคคนรักเหมียวทั้งหลายมาแสดงความรักกับเจ้าเหมียวง่ายๆ ด้วยการกอดรัดฟัดเหวี่ยงให้ชื่นหัวใจพร้อมได้ ‘สุขภาพดี’ เป็นของแถม

1) สุขภาพจิตเริด

จากบทความของเว็บไซต์ NBC News เผยผลการวิจัยพบว่า เวลาที่คนเราหอม กอด หรือฟัดเจ้าเหมียวนั้นจะกระตุ้นให้สมองปล่อยฮอร์โมนแห่งการกอดที่มีชื่อทางการว่า ‘ออกซิโทซิน’ (Oxytocin) เป็นฮอร์โมนที่ถูกผลิตขึ้นจากต่อมใต้สมอง ‘ไฮโปทาลามัส’ (hypothalamus) ซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายและการสร้างความผูกพัน (Relationship Connection) โดยฮอร์โมนนี้จะหลั่งออกมาทำให้เกิดความเชื่อใจและรู้สึกปลอดภัย รวมถึงยังช่วยทำให้ความเครียดของมนุษย์เราลดน้อยลง สมองผ่อนคลาย สุขภาพจิตดีขึ้นได้เป็นอย่างดี

2) ลดเสี่ยงโรคหัวใจ 

ว่ากันว่า ‘คนรักแมว…จะมีสุขภาพหัวใจที่ดีขึ้น’ การันตีโดยการศึกษาของสถาบันโรคหลอดเลือดสมองแห่งมหาวิทยาลัยมินนิโซตา สหรัฐอเมริกา ซึ่งทำการติดตามชีวิตของกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 4,435 คน ในช่วงอายุ 30-75 ปี พบว่า คนที่ไม่ได้เลี้ยงแมวมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการ ‘หัวใจวาย’ สูงกว่าคนที่เลี้ยงแมวหรือเคยเลี้ยงแมวมาก่อนถึง 40 เปอร์เซ็นต์ และมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจอื่นๆ สูงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ 

เช่นเดียวกับ สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association) ระบุว่า การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงนั้นช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้ ที่สำคัญ สัตว์เลี้ยงสามารถช่วยให้คุณรอดชีวิตจากอาการหัวใจวายได้  นอกจากนี้ ยังมีหลายงานวิจัยพบว่า นอกจากการกอดเจ้าเหมียวจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวายลดลงกว่า 40 เปอร์เซ็นต์แล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองลดลงกว่า 30 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย 

3) อายุยืนยาว

นับเป็นเคล็ดลับของการมีชีวิตอยู่ให้ยืนยาวอีกข้อหนึ่งที่ได้รับการยืนยันจากงานวิจัยหลายสำนักทั่วโลกที่พบว่า โดยเฉลี่ยแล้วเจ้าของสัตว์เลี้ยงจะมีอายุยืนยาวกว่าคนที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ เพราะอะไรน่ะเหรอ? ยกตัวอย่างง่ายๆ จากงานวิจัยหนึ่งที่พบว่า ระหว่างที่เราค่อยๆ ลูบตัวสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นสุนัขหรือเจ้าเหมียวนั้น ล้วนส่งผลดีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น…

#ช่วยลดความดันโลหิต
#ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ
#ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์
#ช่วยเพิ่มระดับสารเซโรโทนินและโดปามีนในสมอง
ฯลฯ

ส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของเหล่าทาสเจ้าเหมียวและเจ้าตูบมีความสุขใจ ผ่อนคลายความเครียด ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อไม่มีความเครียดไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย สุขภาพก็ย่อมดีเป็นธรรมดา นี่ยังไม่นับไลฟ์สไตล์ของคนเลี้ยงสัตว์นั้นจะถูกกระตุ้นให้ออกกำลังกายทุกวัน เพราะต้องพาสัตว์เลี้ยงไปวิ่งเล่น ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่นำไปสู่สุขภาพที่ดี ห่างไกลจากโรคร้ายๆ ได้มากมาย

4) บรรเทาอาการปวด

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เสียง purr ของเจ้าเหมียวนี้ช่วยลดความเจ็บปวดของมนุษย์ได้ และหากยิ่งได้กอดเจ้าเหมียวไปด้วยขณะได้ยินเสียงนี้ ร่างกายของเราจะถูกกระตุ้นให้ปล่อย ‘เอนดอร์ฟิน’ (Endorphin) หรือฮอร์โมนแห่งความสุข รวมถึง ‘ออกซิโทซิน’ หรือฮอร์โมนแห่งการกอดออกมาพร้อมๆ กัน ทำให้การกอดแมวเป็นเสมือนยาบรรเทาความปวดที่ทรงพลังมากๆ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า เสียง purr ของเจ้าเหมียวนี้ ยังช่วยรักษาข้อต่อและกระดูกให้ดีขึ้นอีกด้วย

ว่ากันว่า แมวนับเป็นสัตว์ที่สามารถฟื้นตัวจากอาการกระดูกหักได้อย่างรวดเร็ว แถมยังมีโอกาสป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวกับข้อต่อและมะเร็งกระดูกในอัตราที่ต่ำ ซึ่งนักวิจัยทางด้านเสียงเชื่อว่า นั่นมาจากเสียง purr ของเจ้าเหมียวที่มีค่าความถี่อยู่ที่ 25-140 เฮิรตซ์ ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก เยียวยาบาดแผลภายนอกได้ รวมถึงอาการบาดเจ็บทางข้อต่อและเส้นเอ็น 

ที่มหัศจรรย์กว่านั้นไม่ใช่แค่การเยียวยาในตัวของมันเองเท่านั้น แต่นักวิทยาศาสตร์ สัตวแพทย์ และผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของแมวหลายรายเชื่อว่า เสียง purr ของเจ้าเหมียวช่วยให้บาดแผลรอยขีดข่วนของเหล่า ‘ทาส’ ของพวกมันสมานตัวได้เร็วขึ้น แถมป้องกันการติดเชื้อได้อีกด้วย เรื่องนี้ได้รับการยืนยันในบทความ ‘The complicated truth about a cat’s purr’ ของสำนักข่าว BBC และบทความที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร National Geographic ตั้งแต่ปี 2009  

5) ลดอาการซึมเศร้า

‘เลี้ยงแมวไว้ เหมือนมีนักบำบัดอยู่ใกล้ตัว’ 

เรื่องนี้ไม่เกินความจริง เพราะทางในทางจิตวิทยานั้น คำว่า ‘แมวบำบัด’ (cat therapy) เกิดขึ้นมานานแล้ว กล่าวคือ การนำเจ้าเหมียวมาเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรมการบำบัด ซึ่งสามารถช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี และเป็นทางเลือกให้กับผู้ป่วยที่ชอบหรือกลัวสุนัข หรือไม่สามารถไปบำบัดด้วยสัตว์ใหญ่ได้  

แมวนับเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีจิตวิทยาสูง รับรู้สัมผัสอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ได้ดี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นเจ้าเหมียวหลายตัวถูกเลือกให้ไปช่วยกลุ่มผู้ป่วยหลายๆ กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า วิตกกังวล กลัว โรคสมองเสื่อม โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน ความบกพร่องทางการเห็นหรือการได้ยิน ความบกพร่องทางสติปัญญา ออทิสติก สมาธิสั้น และผู้ป่วยจิตเวชอื่นๆ เป็นต้น 

นอกจากนี้ แมวยังช่วยเป็นเพื่อนคลายเหงา ป้องกันโรคซึมเศร้าให้ ‘กลุ่มคนโสด’ ที่ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว และ ‘กลุ่มคนชรา’ ที่ต้องอยู่คนเดียว เพราะเจ้าเหมียวนั้นช่วยเยียวยาความเหงาในใจของพวกเขาได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยลดความรู้สึกด้านลบและความรู้สึกโดดเดี่ยวลง

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของข้อดีที่มี ‘เจ้าเหมียว’ อยู่ใกล้ๆ ที่เชื่อว่าทาสทั้งหลายก็คงรู้ดี และรู้หรือไม่ว่า ความสัมพันธ์พิเศษระหว่างมนุษย์และแมวนี้ จริงๆ นั้นมีมาอย่างยาวนานกว่า 9,500 ปี โดย Dr.Patricia Pendry นักวิจัยจาก Washington State University เปิดเผยผลการศึกษาที่น่ามหัศจรรย์ว่า เสน่ห์อันโดดเด่นของแมวอยู่ที่ธรรมชาติการเลือกเจ้าของของพวกเขา การที่แมวเลือกจะเข้าหาหรือแสดงความรักต่อมนุษย์คนใดคนหนึ่งจะช่วยสร้างความรู้สึกพิเศษและฮีลใจได้เป็นอย่างดี ฉะนั้น เมื่อคุณเป็นผู้ถูกเลือกแล้ว รัก ดูแล และกอดพวกเขาไว้นานๆ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เขาจะมอบสิ่งพิเศษนี้ให้… 

.

ขอบคุณข้อมูลจาก

https://www.dignityhealth.org
https://www.nbcnews.com
https://thestandard.co
https://techsauce.co
https://www.petcharavejhospital.com
https://hhcthailand.com
https://www.happyhomeclinic.com

แชร์ไปยัง
Scroll to Top