อมรา พลอยสังวาลย์ : เมื่อมะเร็งร้ายกลายเป็นการผจญภัยของชีวิต


“จริงๆ มะเร็งก็คือตัวเราเอง

ที่พยายามจะตะโกนบอกเราให้รู้ว่า…
ช่วยหันกลับมาใส่ใจดูแลตัวเองหน่อย”

มุมมองต่อมะเร็งในวันนี้ของ ออย-อมรา พลอยสังวาลย์ นักภาษาศาสตร์อิสระวัย 35 ปี อดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative Breast Cancer (TNBC) ที่เผชิญการกลับมาของมะเร็งชนิดเดียวกันซ้ำๆ ถึงสองครั้งสองคราภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี และนั่นคือจุดหักเหที่ทำให้ชีวิตเธอมุ่งสู่การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจัง และกลายมาเป็นกลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลในองค์การนานาชาติ ทำหน้าที่อาสาสอนคัมภีร์ไบเบิลให้กับผู้ที่สนใจแบบฟรีๆ ในนามของ ‘พยานพระยะโฮวา’ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.jw.org)   

‘คุณพอล’ กำลังใจสำคัญ

เมื่อมะเร็งลุกลามไปถึง ‘หัวใจ’

“ย้อนหลังกลับไปปี 2559 ตอนนั้นชีวิตออยกำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งเปลี่ยนงานใหม่ เพิ่งแต่งงาน พอฮันนีมูนจบลงก็กำลังจะย้ายบ้านเพื่อเริ่มต้นชีวิตคู่ หลังจากจบความวุ่นวายทุกอย่าง เราได้มีโอกาสพักผ่อนซะที วันหนึ่งตอนนอนบนเตียง รู้สึกเจ็บที่หน้าอกข้างขวาจึงลองเอามือคลำๆ ดูก็พบว่า มีก้อนแข็งๆ อยู่ตรงบริเวณหน้าอก จังหวะนั้นเรารู้สึกเลยว่า มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกายเรา จึงไปหาคุณหมอเพื่อตรวจเช็ก

“ระหว่างที่รอผลออกมา เชื่อไหมว่าเราไม่มีความคิดเกี่ยวกับมะเร็งอยู่ในหัวเลย เพราะแม้จะทำงานหนัก แต่เราก็ดูแลตัวเอง ออกกำลังกายหนัก เล่นกีฬาทุกอย่าง ใช้ชีวิตจนลืมไปว่าตัวเองป่วยได้และตายเป็น จนผลออกมาว่า เราเป็นมะเร็ง จำได้เลยว่านาทีนั้นมันชาไปหมดทั้งตัว เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจากการรับรู้ภายนอกหรือแม้แต่ภายในครอบครัวเราเองที่มีประวัติว่า พี่น้องของคุณตาคุณยายเคยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ทำให้เรามีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ‘เป็นมะเร็งเท่ากับตาย’

“ครั้งหนึ่งแม่ของออยก็เคยเป็นมะเร็งมดลูกระยะแรก แต่ก็คิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดว่า มันน่าจะกระโดดข้ามรุ่นไป แต่พอสุดท้ายก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิด ความรู้สึกตอนนั้นจึงเหมือนโลกทั้งโลกกำลังถล่มลงตรงหน้า พอออกจากห้องคุณหมอมาก็นั่งร้องไห้อยู่กับแม่ รู้ซึ้งถึงคำว่า ‘กลัวตาย’ ว่ามันเป็นอย่างไร”

คุณแม่เคียงข้างไม่เคยห่าง

หมอรักษากาย แต่ ‘ใจ’ ใครจะดูแล

“กระบวนการรักษาดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น โดยคุณหมอที่ทำการรักษาออยตอนนั้นก็คือคุณอาแท้ๆ ซึ่งเป็นศัลยแพทย์เต้านมโดยเฉพาะ นอกจากการผ่าตัดคว้านก้อนมะเร็งขนาด 1.9 เซนติเมตร ออกจากหน้าอกแล้ว ก็ต้องผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ด้านขวาออกด้วย เพราะมะเร็งลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง 1 ต่อม จากนั้นก็เข้าสู่การให้คีโมต่อ 4 เข็ม และฉายแสงอีกกว่า 28 ครั้ง นั่นคือรอบแรก

“4 เดือนผ่านไป จู่ๆ วันหนึ่งขณะที่เรากำลังเท้าคางนั่งฟังเพื่อนคุยกันอยู่ ก็ไปพบก้อนแข็งที่คอ ความรู้สึกว่า นี่มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของร่างกายเรา ก็กลับมาอีกครั้ง และพอไปตรวจก็พบว่ามะเร็งชนิดเดิมกลับมาที่ต่อมน้ำเหลืองที่คออีก

“เอาอีกแล้วเหรอ เมื่อไรมันจะจบสักที สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดมันไม่ได้ผลใช่ไหม ที่เราทนทรมานกับการรักษามา มันไร้ค่าใช่ไหม ฯลฯ สารพัดคำถามวนเวียนอยู่ในหัว ส่งให้อารมณ์ ความรู้สึกของเรามันดิ่งลงไปเรื่อยๆ กระทั่งดึงสติกลับมาได้ เพราะคำพูดของคุณอาหมอที่ว่า ถ้าเราเจอมะเร็งก็แค่รักษาเท่านั้นเอง ดีกว่าเรามาเจอตอนที่สายไปแล้ว ฉะนั้น ทางกายก็ให้หมอรักษาไป ส่วนออยก็หันไปโฟกัสที่ ‘ใจ’ ตัวเองอย่างเดียวพอ

“พอได้ยินดังนั้นก็กลับมาจัดการตัวเองใหม่ โดยพยายามบอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไรนะ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่า เราต้องทำอะไร เราต้องเจอกับอะไร…” โดยหลังการผ่าตัดก้อนมะเร็งนั้นผ่านไป ก็เข้าสู่กระบวนการให้คีโมต่ออีก 4 เข็ม และฉายแสงอีก 10 ครั้ง นั่นคือรอบที่สอง”

ความสงสัยนำไปสู่เส้นทางใหม่ของชีวิต

“6 เดือนต่อมา ผมที่ร่วงจากคีโมครั้งก่อนยังไม่ทันยาวเลย (หัวเราะ) มะเร็งก็กลับมาอีกครั้ง ครั้งนี้ไปเจอที่ใต้รักแร้ด้านซ้ายกว่า 16 ต่อม ซึ่งนั่นหมายความว่ามะเร็งได้กระโดดจากระยะ 2A มาเป็นระยะ 3 ในเวลาไม่ถึงปี หลังผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองทิ้งทั้งหมดแล้ว ครั้งนี้จึงต้องให้คีโมเพิ่มเป็น 12 เข็ม ตามด้วยฉายแสงอีก 35 ครั้ง แถมยังต้องผ่าตัดใส่ ‘พอร์ต’ (Port A Cath) อุปกรณ์ที่ฝังไว้ใต้ผิวหนังของร่างกาย ซึ่งในกรณีของออยฝังไว้ที่หน้าอก เพื่อใช้ในการให้ยาคีโมผ่านหลอดเลือดดำ เพราะตอนนั้นเส้นเลือดเราแย่แล้ว การใส่พอร์ตจะช่วยให้เราไม่ต้องโดนเข็มเจาะซ้ำๆ นั่นเอง

“ยอมรับว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่ยากที่สุด จากที่คิดว่าเราจะไม่เป็นไรแล้ว การรักษาสิ้นสุดลงแล้ว พอผลออกมาว่ามะเร็งกลับมาอีก ความรู้สึกผิดหวังมันถาโถมเข้ามา ยิ่งกระบวนการรักษาที่ยาวนานกว่าสองครั้งแรก ยิ่งทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้า จมดิ่ง แต่นั่นแหละที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาทบทวนคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจัง เพื่อค้นหาคำตอบต่อคำถามมากมายที่เราเคยมองข้ามไปในอดีต ไม่ว่าจะเป็น…

“คนเราเกิดมาเพื่ออะไร ?
เราเกิดมาเพื่อป่วย เพื่อแก่ และเพื่อตายเท่านั้นเหรอ ?
ทำไมเราต้องป่วย ทำไมเราต้องแก่ ทำไมเราต้องตาย ?
ความตายถือว่าเป็นที่สิ้นสุดหรือเปล่า ?
หากความตายเป็นธรรมชาติของชีวิต แต่ทำไมเรายังกลัวตายอยู่ ?
จะมีสักวันไหมที่ไม่มีใครสักคนที่จะต้องป่วย ?
พระผู้สร้างอยากให้เราใช้ชีวิตแบบไหน ?

“คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่เราเคยเรียนรู้มาแล้วในคัมภีร์ไบเบิล แต่เราเพิ่งมาใคร่ครวญจริงๆ ก็ตอนที่เราเป็นมะเร็ง ซึ่งมะเร็งทำให้เรามีเวลาได้อยู่กับตัวเองจริงๆ จังๆ ทำให้ช่วงพักรักษาตัวของออยส่วนใหญ่จึงหมดไปกับการค้นหาคำตอบเหล่านี้จากคัมภีร์ไบเบิล และได้ใช้เวลาใกล้ชิดพระเจ้า กระทั่งฝึกฝนที่จะนำหลักคำสอนจากคัมภีร์มาใช้อย่างแท้จริง และนั่นเองที่มุมมองของเราเปลี่ยนไป โลกของเราเปลี่ยนไป เราได้พบคำตอบต่อคำถามทั้งหมด  

“ครั้งนั้น เราไม่ตั้งเป้าหมายแล้วว่าจะมีชีวิตอยู่ เพราะการได้รู้จักคัมภีร์ไบเบิล การได้รู้จักและรักพระเจ้าองค์สูงสุดที่ชื่อพระยะโฮวา ทำให้เรามั่นใจถึงสิ่งที่พระองค์จะทำในอนาคตและความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด เรายังมีความหวังเสมอ เราจึงอธิษฐานต่อพระองค์ว่า หากต้องจบชีวิตลงก็ไม่เสียใจเพราะเราได้ทำอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว แต่หากชีวิตเรายังมีประโยชน์และสามารถช่วยเหลือผู้คนให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ ก็ขอให้เรามีชีวิตอยู่ต่อเพื่อทำสิ่งเหล่านั้น พออธิษฐานเสร็จก็วางอารมณ์ ความรู้สึกทุกอย่างลง และเข้าสู่กระบวนการรักษาจนจบสิ้น” 

อาสาสมัครของพระเจ้า

“หลังใช้เวลารักษามะเร็ง 3 รอบ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไปเกือบ 3 ปีเต็ม ผ่านการผ่าตัด 6 ครั้ง คีโม 20 เข็ม และฉายแสงกว่า 70 แสง สุดท้ายออยก็ผ่านมันมาได้ ซึ่งนอกจากความเชื่อในพระองค์แล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่าออยมีคนรอบข้างที่สุดยอด โดยเฉพาะ ‘แม่’ ที่คอยอยู่ดูแลเราเป็นอย่างดี และ ‘คุณพอล’ สามีชาวออสเตรเลียที่คอยอยู่เคียงข้างเราเสมอ ไม่ใช่ดูแลแค่ร่างกายแล้ว ทั้งสองยังเยียวยาไปถึงหัวใจของเรา ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ ที่ทำให้เราผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้

“หลังการรักษาในครั้งนั้นจบลง เราก็เปลี่ยนตัวเองใหม่หมด บอกลางานประจำ หันมาทำงานอิสระ ย้ายมาอยู่ต่างจังหวัด ปลูกผักกินเอง เปลี่ยนวิถี-วิธีการใช้ชีวิต ที่สำคัญคือเราอุทิศชีวิตและความสามารถทั้งหมดเท่าที่มีไปกับการเป็น ‘พยานพระยะโฮวา’ อาสาสมัครสอนคัมภีร์ไบเบิลเพื่อช่วยเหลือผู้คนแบบเต็มเวลา

“จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็กว่า 3 ปีมาแล้ว เชื่อไหมว่าไม่เคยมีวันไหนที่เราไม่รู้สึกขอบคุณมะเร็ง เพราะมะเร็งทำให้เราได้ช่วยผู้คนมากมาย ถ้าวันนี้เราไม่เป็นมะเร็ง เราก็คงยังใช้ชีวิตล่องลอยไปเรื่อยๆ หรือคงวิ่งไล่ตามเป้าหมายที่สุดท้ายนำไปสู่ความว่างเปล่า ไม่ใช่ความสุข มะเร็งนำพาเราได้มารู้จักความสุขที่แท้จริงจากการให้ ความรู้สึกที่เหมือนหัวใจฟูขึ้นทุกครั้งที่ได้ช่วยผู้คน ความสุขที่เราหาไม่ได้จากการซื้อหาอะไรเลย ความสุขนี้มันไม่มีอะไรเทียบได้เลย และมันไม่มีวันจะเกิดขึ้น ถ้าเราไม่ได้เป็นมะเร็ง ทำให้วันนี้เราขอบคุณมะเร็งเสมอที่เข้ามาในชีวิต

“จำได้ว่าในวันที่มะเร็งเข้าในชีวิตรอบที่ 3 เรารู้สึกว่าตัวเองกำลังใกล้ตาย สิ่งที่เราทำตอนนั้นคือพยายามคิดว่า มีอะไรที่เราอยากทำแต่ยังไม่ได้ทำอีกบ้าง และลิสต์มันไว้ในใจ จนเมื่อผ่านมะเร็งมาได้ เราก็ใช้เวลาที่ผ่านมาในการทำสิ่งเหล่านั้นมาทีละอย่าง กระทั่งวันนี้เราได้ทำทุกอย่างนั้นแล้ว แม้จะยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม แต่ก็ได้ลงมือทำและพยายามอย่างเต็มที่ เต็มกำลังที่มี

“ถ้าวันหนึ่งมะเร็งจะกลับมา เราก็ไม่เสียดายหรือไม่เสียใจแล้ว เราก็แค่รักษาให้ดีที่สุด ด้วยมุมมองที่เข้าใจที่สุด เพราะการกลับมาของมะเร็งก็ไม่ได้หมายความเราพ่ายแพ้ แต่มันอาจจะแค่มาเตือนเราให้ดูแลตัวเองให้ดีขึ้นอีกนิด ทำให้ทุกวันนี้แค่ได้ตื่นลืมตาแล้วรู้ว่าตัวเองยังหายใจ และได้มีโอกาสใช้ความสามารถของตัวเองเพื่อช่วยเหลือคนอื่นให้มีความสุข นั่นก็เป็นอะไรที่ขอบคุณที่สุดแล้ว”

สิ่งที่มะเร็งฝากไว้…

“มะเร็งทำให้ออยเข้าใจสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลพยายามสอนมาตลอด ไม่ว่าจะเป็น การไม่​ต้อง​กังวล​ถึง​วัน​พรุ่ง​นี้ เพราะ​พรุ่ง​นี้​ก็​จะ​มี​เรื่อง​ของ​พรุ่ง​นี้​ให้​กังวล​อีก แต่​ละ​วัน​มี​ปัญหา​มาก​พอ​อยู่​แล้ว (มัดธิว 5 : 34) หรือ เมื่อ​เจอ​ความ​ลำบาก ให้​มอง​ว่า​เป็น​เรื่อง​น่า​ยินดี (ยากอบ 1 : 2) มันอาจจะฟังดูย้อนแย้ง แต่เมื่อมะเร็งเข้ามา มันทำให้เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า เราอย่าเอาเงื่อนไขความสุขไปวางไว้กับสภาพการณ์ในชีวิตของเรา เราไม่ต้องรอให้เกิดอะไรขึ้นก่อนจึงจะมีความสุข แต่จงมีความสุขแม้ตอนยากลำบาก และโฟกัสที่จะหาความสุขตอนที่ยากลำบากให้ได้

“ฉะนั้น อย่าลืมขอบคุณมะเร็งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพราะนั่นคือการผจญภัยครั้งใหม่ คือประสบการณ์ใหม่ที่ชีวิตนี้เรายากจะเจอ เพราะมันไม่ใช่ทุกคนที่จะเจอสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้มีโอกาสรู้ว่าตัวเองเข้มแข็งแค่ไหน จงดีใจ จงมีความสุข และเก็บเกี่ยวทุกประสบการณ์ที่เข้ามาและเดินหน้าต่อ เชื่อเถอะว่า เมื่อวันหนึ่งที่เราผ่านมันมาได้ แล้วมองย้อนกลับไป เราจะภูมิใจกับตัวเองมากๆ เพราะเราจะไม่มีวันได้เห็นตัวเองในเวอร์ชันนี้เด็ดขาด…ถ้าเราไม่เป็นมะเร็ง

 

 

#LifeGoesOn
#เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป
#มะเร็งเต้านมรู้เร็วรักษาเร็วก็หายได้
#ชมรมมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย
#TBCC

แชร์ไปยัง
Scroll to Top