สุมนา จุนโกเศศ : 10 ปีกับก้าวยากๆ บนเส้นทางมะเร็ง

“ส้มเชื่อเสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้
ล้วนเกิดขึ้นมาอย่างมีเหตุผล
ยกตัวอย่างง่ายๆ ตุ๊กแกเป็นสัตว์ที่ส้มเกลียดที่สุดในชีวิต
เพราะนอกจากรูปร่างที่น่าเกลียดแล้ว ยังมีเสียงที่น่ากลัวอีก
แต่ลึกๆ ส้มก็รู้ว่า มันคือพาร์ตหนึ่งที่ต้องมีในธรรมชาติ
มะเร็งก็ไม่ต่างอะไรจาก ‘ตุ๊กแก’ นี่แหละ
ถึงเราจะเกลียดกลัวมันอย่างไร
แต่สุดท้ายก็เป็น ‘สิ่งที่ต้องมี’ เช่นกัน”

ส้ม-สุมนา จุนโกเศศ อดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิด HER2 negative ระยะ 2 วัย 40 ปี คุณครูแผนกอินเตอร์เนชั่นแนลโปรแกรมของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี นอกจากบทบาทของการเป็นคุณครูสอนวิชาภาษาอังกฤษให้ลูกศิษย์ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 แล้ว เธอยังเป็นนักศึกษาในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ด้วยหวังว่าจะนำความรู้ที่ได้มาพัฒนาการสอนให้ดียิ่งขึ้น

“ส้มอยากเป็นครูที่ดีและผลักดันลูกศิษย์ไปให้ถึงเป้าหมายไกลที่สุดจึงพยายามพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะมีความสุขในทุกๆ วัน เพราะมะเร็งสอนให้เรารู้แล้วว่า ชีวิตคนเรานั้นสั้นนิดเดียว  29 ปีแรกของชีวิต เราใช้เวลาไปเรื่อยเปื่อย กิน เที่ยว ดื่ม ปาร์ตี้ ฯลฯ สนใจแต่เรื่องภายนอก อยู่กับเพื่อนมากกว่าครอบครัว แต่เมื่อมะเร็งเข้ามา เราเหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น มองเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น มุมมองทุกอย่างเปลี่ยนไป เรากลับมาเรียงลำดับความสำคัญในชีวิตใหม่หมด เพราะเรารู้ซึ้งเลยว่า ชีวิตไม่ได้ยืนยาวอย่างที่คิด และเรายังมีสิ่งที่อยากทำแต่ยังไม่ได้ทำอีกมากมาย นั่นทำให้พอจบการรักษามะเร็งเมื่อ 10 ปีก่อน ไม่มีคำว่า ‘ผัดวันประกันพรุ่ง’ ในชีวิตอีกเลย อยากทำอะไร ทำทันที” 

ชัยชนะที่ไร้ค่า

“ย้อนหลังกลับไปราว 10 ปีก่อน ตอนนั้นส้มย่างเข้าสู่วัย 30 ปี ซึ่งตามความเชื่อของคนโบราณบางกลุ่มก็จะเชื่อว่าเป็น วัยเบญจเพสของผู้หญิง คุณแม่ก็ไปดูดวงกับหลวงพ่อที่นับถือกันมานาน ซึ่งท่านก็ทักมาว่า ระวังนะ…ช่วงนี้ลูกสาวดวงตก ด้วยความที่เป็นลูกสาวคนเดียว แม่ก็เป็นห่วงมาก กอรปกับช่วงนั้นเรายังเป็นพนักงานของบริษัทดีลเลอร์รถยนต์ที่จังหวัดหนองคาย ทำให้ต้องขับรถจากอุดรไปหนองคาย โดยใช้เวลาขับไป 1 ชั่วโมงและขับกลับอีก 1 ชั่วโมง ทุกวัน ซึ่งเราก็ขับรถด้วยความระมัดระวังมาก เพราะพอหลวงพ่อทักเรื่องดวงตก เราก็จะโฟกัสเรื่องอุบัติเหตุอย่างเดียว แต่ไม่ได้เอะใจเรื่องสุขภาพเลย

“จนราวเดือนกรกฎาคม 2558 ทุกครั้งที่ขับรถผ่านวัดใหญ่แห่งหนึ่งระหว่างทางไป-กลับจากทำงาน เราเริ่มมีอาการกล้ามเนื้อที่หน้าอกกระตุก แต่ตอนแรกก็ยังไม่ได้เอะใจอะไร ด้วยความที่อายุยังไม่เข้าเลข 3 และไม่เคยมีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งมาก่อนเลย เราจึงคิดว่า มะเร็งไกลตัวเรามาก จึงใช้ชีวิตไปตามปกติ กระทั่งเดือนสิงหาคมในปีนั้นก็พบว่าตัวเองมีก้อนที่นูนขึ้นมาจากหน้าอกด้านซ้าย และเป็นก้อนที่ไม่เคลื่อนที่จึงลองหาข้อมูลจาก Google ก็พบว่า มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง จึงตัดสินใจไปหาคุณหมอตามสิทธิ์ประกันสังคม เพื่อตรวจให้รู้แน่ว่า ก้อนที่เป็นอยู่นั้นใช่มะเร็งไหม

“แต่หลังจากคุณหมอซักประวัติแล้วไม่พบความเสี่ยงใดๆ รวมถึงมองว่าเรายังอายุน้อย คุณหมอจึงแค่จ่ายยาแก้อักเสบและยาพาราแล้วให้กลับบ้าน บอกแค่ว่า ถ้ายุบ…ก็คงไม่มีอะไร แต่กินยามาได้สักระยะก้อนดังกล่าวก็ยังไม่ยุบ และทุกครั้งที่ขับผ่านวัดใหญ่ กล้ามเนื้อที่หน้าอกก็ยังกระตุกเหมือนเดิม จนกว่าจะผ่านวัดไปสัก 15 นาที อาการนี้จึงจะหายไป ลึกๆ เราก็มองว่าอาจจะเป็นเหมือนสัญญาณเตือนอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นเราจึงเทียวไปหาคุณหมอทุกสัปดาห์ เพื่อตื๊อขอให้คุณหมอเจาะชิ้นเนื้อ ขณะที่คุณหมอเองก็จะมองว่าเรากังวลเกินไป ทำให้กว่าคุณหมอจะยอมเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจให้ เวลาก็ผ่านไปกว่า 1 เดือน

“ระหว่างที่รอผลชิ้นเนื้ออยู่นั้น เราก็ขอให้ตัวเองคิดมากไปเองหรือกังวลเกินไปตามที่คุณหมอคิดเถอะ เราไม่อยากคิดถูก ไม่อยากชนะหมอเลยในตอนนั้น เพราะเราไม่อยากเป็นมะเร็ง ด้วยความที่ยังอยู่ในวัยสร้างเนื้อสร้างตัว ยังมีสิ่งที่ฝันและอยากทำอีกมากมาย ก็ภาวนาตลอดว่า ขอให้ก้อนนั้นเป็นแค่ก้อนไขมันหรือก้อนเนื้อธรรมดา แต่พอผลชิ้นเนื้อออกมาปรากฏว่า เป็นมะเร็ง! เราคิดถูก หมอคิดผิด หมอแพ้ เราชนะ แต่เป็นชัยชนะที่ไม่อยากได้เลย…”  

ทางเลือกเพียงหนึ่งเดียว

“วันที่ 1 กันยายน 2558 เป็นวันนัดตัดไหม พอตัดไหมเสร็จทางพยาบาลก็แจ้งว่า ‘ผลชิ้นเนื้อออกแล้ว ให้รอฟังผลจากคุณหมอก่อน คุณหมอราวน์วอร์ดอยู่’ วันนั้นคุณแม่ซึ่งไปด้วยกันก็ทักขึ้นมาว่า เป็นแน่ๆ ถ้าไม่เป็นเขาคงแจ้งแล้ว หากลีลาอย่างนี้ ผลไม่ปกติแน่ๆ แม่ดูละครมาเยอะ (หัวเราะ) ตอนนั้นเราก็ยังพูดกับแม่ไปว่า แม่คิดมาก…

“จนกระทั่งคุณหมอมาถึงพร้อมด้วยพยาบาลและบุรุษพยาบาลอีก 3 คนที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดาน จำได้เลยว่าคุณหมอนั่งก้มหน้าไม่สบตาเราเลย จากนั้นก็เปิดแฟ้มที่มีเอกสารผลการตรวจชิ้นเนื้อไปมา เหมือนแก้เขิน ก่อนจะพูดขึ้นว่า ‘ตรวจแล้วนะ นั่นแหละ เนื้อร้าย’ พอได้ยินคำว่าเนื้อร้าย เราก็อึ้ง เอ๋อ อ๊องไปเลย เหมือนหนังชีวิตกำลังเปิดฉากพร้อมกับเสียงคุณหมอที่พูดขึ้นว่า‘ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็นัดผ่าได้เลยนะ ผ่าออกให้เร็วที่สุด จะได้ไม่ลาม’

“พอหันมาหาแม่ก็พบว่าตอนนั้นท่านกำลังร้องไห้หนักมากท่ามกลางวงล้อมของเหล่าพยาบาลและบุรุษพยาบาลที่คอยมาดูแลอย่างใกล้ชิด แทนที่จะเป็นเราเองที่ควรร้องไห้ แต่ไม่นานแม่ก็เริ่มดีขึ้นและบอกให้คุณหมอช่วยจัดการรักษาเราให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งปรากฏว่าก็ได้คิวผ่าตัดรวดเร็วทันใจในอีก 4 วันถัดมา ซึ่งหากนับย้อนหลังไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว การรักษามะเร็งไม่มีชอยส์อะไรให้เราเลือกมากมาย และในครั้งนั้นเราจำเป็นต้องผ่าตัดเต้านมด้านซ้ายออกทั้งเต้าตามคุณหมอแนะนำเท่านั้น”

สูญเสียแต่ไม่เสียศูนย์

“ด้วยความเป็นสาวโสด ไม่ได้มีภาระผูกพันใดๆ กับใคร เราจึงแทบไม่ได้ซีเรียสอะไรกับการที่จะสูญเสียเต้านมสักเท่าใด มัวแต่ไปคิดถึงอนาคตที่ต้องไปเจอกับด่านหินอย่าง ‘คีโม’ มากกว่า เพราะตอนนั้นเราอ่านประสบการณ์จากผู้ป่วยมะเร็งรุ่นพี่ๆ ที่มาแชร์กันในเว็บ pantip และแต่ละคนก็จะเล่าประสบการณ์สุดโหดที่พบจากการให้คีโม ทำให้เรานอยด์มาก

“หลังผ่าตัดเต้านมไม่กี่สัปดาห์ก็รู้ผลว่า มะเร็งที่เราเป็นอยู่นั้นเป็นชนิด HER2 negative และอยู่ในระยะ 2 ซึ่งโชคดีมากที่เราเข้าสู่การรักษาอย่างรวดเร็ว ทำให้มะเร็งยังไม่ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง ที่สำคัญก้อนมะเร็งยังอยู่ใกล้ปอดมาก หากช้ากว่านี้ไปอีกนิด มะเร็งก็อาจจะลุกลามไปยังปอดได้

“พอรู้ชนิดของมะเร็งแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องให้คีโม แต่เนื่องจากโรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคมนั้นไม่มีแผนกเฉพาะทางด้านมะเร็ง เราจำเป็นต้องย้ายไปรักษาตัวต่อที่‘โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี’ โดยประเดิมการรักษาด้วยการให้คีโมสูตรน้ำแดง 1 ถุง และน้ำขาว 2 ถุงต่อครั้ง และต้องรับทั้งหมด 6 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 3 สัปดาห์ จำได้เลยว่า เข็มแรกผมก็ร่วงทันที พอเข็มที่สอง ค่าเลือดไม่ผ่าน ต้องใช้ ‘ยากระตุ้นเม็ดเลือด’ ซึ่งราคาประมาณเข็มละ 3,000 บาท และเป็นยานอกบัญชี

“ระหว่างนั้นงานประจำที่ทำอยู่ก็โดนฟรีสไว้ แม้จะไม่ถึงขั้นถูกไล่ออก แต่ก็จำเป็นต้องงดจ่ายเงินเดือน จนกว่าจะรักษาตัวจนหายเป็นปกติค่อยกลับมาทำงานได้ โดยหัวหน้าให้เหตุผลกับเราตรงๆ ว่า ‘ยูไม่ Productive เหมือนแต่ก่อน’ นั่นทำให้เรากลายเป็นผู้ป่วยมะเร็งที่ว่างงาน ไร้เงินเดือนไปโดยปริยาย แม้จะไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้รับกับสถานการณ์นี้ แต่เราก็พยายามสู้แบบหลังชนฝา

“โชคดีมากที่สิทธิ์ประกันสังคมยังครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด แม้จะมียานอกบัญชีมาบ้าง แต่ทางโรงพยาบาลอุดรฯ ก็แนะนำให้เราลองทำเรื่องไปยังโรงพยาบาลต้นสังกัด สุดท้ายทางผู้อำนวยการโรงพยาบาลต้นสังกัดตามสิทธิ์ประกันสังคม ซึ่งก็คือคุณหมอที่ผ่าตัดเต้านมของเรานั้นเซ็นอนุมัติจ่ายยานอกบัญชีให้ ทำให้ไม่มีส่วนต่างที่เราต้องจ่ายเพิ่ม แม้จะต้องฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวทุกครั้งที่ให้คีโมจนเข็มสุดท้าย”

วัฏจักรที่ต้องเผชิญ

“ด้วยความที่คีโมทุกเข็มจะมีอาการข้างเคียงใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นแผลในช่องปากที่ทำให้เรากินอะไรไม่ได้เลย กินได้ไม่เกินวันละ 4 คำ เหม็นไปหมด ผิวก็แห้ง หรือแค่การกินน้ำเปล่า ก็ยังรู้สึกเหมือนเรากำลังดื่มน้ำที่ผสมน้ำมันเบนซิน เพราะกลิ่นเคมีจะติดตัวเราตลอดเวลา บางเช้าตื่นมาก็รู้สึกว่า จะก้าวเท้าได้ลำบากมาก ไม่มีแรง ซึ่งอาการเหล่านี้จะถาโถมเข้ามาพร้อมๆ กันในสัปดาห์แรก และจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นในทุกๆ เข็ม ฉะนั้น วิธีที่เราจะผ่านมันไปได้ก็คือกินยานอนหลับที่คุณหมอให้มา เพื่อจะหลับให้ได้มากที่สุด

“แต่อาการที่ทรมานที่สุดเกินจะรับมือได้ก็คือ อาการแหงน หรืออาการที่นอนราบไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมานั่งและแหงนหน้ามองเพดานตลอดเวลา เมื่อยมาก อยากนอน แต่ก็นอนไม่ได้ เหมือนท่านี้เป็นองศาที่ทำให้เราสบายตัวที่สุดในขณะนั้นแล้ว ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นตั้งแต่ให้คีโมเข็มที่สอง และจะมีอาการนี้ในสัปดาห์แรกของการให้คีโมทุกๆ เข็ม

 “ความทรมานจากผลข้างเคียงจากคีโมเป็นเหตุผลที่ทำให้พอคีโมเข็มที่ 6 เราถึงขั้นร้องไห้เหมือนเด็กๆ แล้วพูดกับแม่ว่า ‘พอแล้วได้ไหม ทรมาน ไม่เอาแล้วได้ไหม พอเหอะ 5 เข็มก็พอแล้ว หนูไม่อยากให้แล้ว’ กอปรกับช่วงนั้นก็มีกระแสต่างๆ เข้ามามากมาย ก็ทำให้เราเริ่มไม่ค่อยมั่นใจในคีโม เช่น เคมีบำบัดไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งหายได้ ฯลฯ หรือเวลาที่เพื่อนแม่มาเยี่ยมที่บ้าน เขาก็จะบอกว่า ‘ให้ลูกทำคีโมทำไม ยิ่งจะทำให้ลูกตายเร็วนะ’ พอได้รับข้อมูลทำนองนี้มากๆ เข้าก็เริ่มไม่อยากรักษาต่อ จนแม่ต้องพูดเรียกสติว่า ‘ไหนๆ ก็ทำมาขนาดนี้แล้ว ลองคิดกลับกันนะ ถ้าวันนี้เป็นแม่ที่ต้องไปให้คีโม และแม่งอแงไม่ยอมรักษาเหมือนแกในวันนี้ แกจะรู้สึกอย่างไร ฝืนใจอีกสักเข็มได้ไหม’

“ในที่สุดเราก็ยอมให้คีโมเข็มสุดท้าย ซึ่งต้องยกความดีทั้งหมดให้แม่ ถ้าไม่มีแม่อยู่ข้างๆ ที่นอกจากเป็นขุมกำลังใจที่สำคัญแล้ว ยังเป็นหน่วยซัปพอร์ตเราทุกอย่าง ไม่ว่าจะอยากกินอะไร แม่พยายามจัดหามาให้อย่างเต็มที่ ถ้าไม่มีแม่อยู่เคียงข้างในวันนั้น เชื่อว่าเราคงไปไม่ถึงคีโมเข็มสุดท้ายแน่นอน

“หลังจบกระบวนการให้คีโมก็เข้าสู่ขั้นตอนการฉายแสงต่ออีก 16 แสง แม้จะมีอาการผิวไหม้บ้างแต่ถือว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับอาการข้างเคียงจากคีโม ส่วนผิวที่ไหม้จากการฉายแสง หลังจากทาครีมแล้วผิวก็จะลอกและกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม ร่างกายช่วงนี้ค่อยๆ ฟื้นฟูจนกลับมาเป็นปกติ  หลังจากฉายแสงจบได้ราว 1 เดือน เราก็กลับไปทำงานได้ตามปกติ โดยใช้เวลารักษาตัวไปทั้งหมด 6 เดือนเต็ม จากนั้นก็กินยาทาม็อกซิเฟน (Tamoxifen) ต่ออีก 5 ปี และติดตามผลตามที่คุณหมอนัด จนทุกวันนี้ก็ยังต้องติดตามผลทุกปี”

เรียนรู้ผ่านโรค

“มะเร็งทำให้เราเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตมากขึ้น แม้จะเหมือนโดนบังคับให้ต้องเรียนรู้ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า แม้จะรู้สึกว่ายากไปบ้าง ทรมานไปบ้าง นั่นก็เป็นเพราะก่อนหน้านี้เราไม่มี ‘ชุดความรู้’ ที่เตรียมตัวเตรียมใจรับมือกับโรคมะเร็งมาก่อน จึงทำให้การใช้ชีวิตระหว่างการรักษาค่อนข้างยาก แต่เราเชื่อว่า ถ้าวันหนึ่งมะเร็งกลับมา เราคิดว่าเรารับมือกับมันได้ดีกว่าครั้งแรกแน่นอน เพราะเรามีประสบการณ์และภูมิคุ้มกันที่พร้อมรับมือกับมะเร็งแล้ว

“สมัยก่อน สื่อต่างๆ ที่เราเคยเสพกันจนกลายเป็นความเชื่อฝังหัวเกี่ยวกับโรคมะเร็งนั้น เกือบทั้งหมดถูกคิดและทำขึ้นมาจากคนที่ไม่เคยป่วยเป็นโรคนี้ แน่นอนว่า เขาไม่ได้เข้าใจโรคจริงๆ ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่พอรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งก็มักจะถามคำถามเดิมๆ ว่า ‘ทำไมต้องเป็นฉัน…’ หากมองกันตามจริงจะรู้ว่า นี่เป็นคำถามที่นอกจากไม่เข้าใจโรคแล้ว ก็ยังไม่เข้าใจชีวิตเอาเสียเลย และนั่นเองที่ทำให้ทุกข์หนักขึ้นไปอีก

“หากเราเข้าใจโรคและเข้าใจชีวิตเพียงพอ เราจะตั้งคำถามใหม่กับตัวเองว่า ‘ทำไมมันจะเป็นเราไม่ได้ ในเมื่อการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ว่าใครก็หลีกหนีสิ่งนี้ไปไม่ได้ แล้วเรามีอภิสิทธิ์อะไรถึงจะได้รับการยกเว้น’ ถ้าเรารู้จักตั้งคำถามให้เป็น ใจเราก็เบาขึ้น นี่เองที่ส้มมองว่า ชุดความรู้นั้นเป็นสิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ผู้ป่วย แต่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราทุกคน เพราะชุดความรู้จะช่วยให้เรารับมือกับสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น ไม่ใช่แค่โรคมะเร็ง แต่ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตใดๆ ในชีวิต เราก็จะรับมือได้อย่างเบาใจ”

อยู่อย่างเบาใจ จากไปอย่างใจเบา

“เชื่อว่าผู้ป่วยทุกคนอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีในขณะที่เรายังมีลมหายใจ ถ้าเรามีชีวิตอยู่แล้วต้องนอนติดเตียงหรือต้องเป็นภาระใคร การจากไปก็อาจจะดีกว่า มุมมองนี้ส้มได้มาระหว่างที่รักษามะเร็งและมีโอกาสได้รู้จักกับ “สมุดเบาใจ” จากนั้นจึงเริ่มหาข้อมูลจากเพจต่างๆ จนได้รู้ว่า สมุดเล่มนี้เป็นเครื่องมือช่วยวางแผนการดูแลสุขภาพล่วงหน้า (Advance Care Planning) และสื่อสารเจตนาล่วงหน้าเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่วงสุดท้ายให้ครอบครัวและทีมสุขภาพรับทราบ

“นอกจากนี้ เรายังมีโอกาสได้รู้จักกับคุณหมอท่านหนึ่ง ซึ่งทำเรื่องการดูแลแบบประคับประคอง (palliative care) ก็ยิ่งช่วยเราเปิดมุมมองเกี่ยวกับเรื่องการเตรียมตัวในระยะท้ายของชีวิต นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเขียนสมุดเบาใจตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และเปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมในสมุดเบาใจทุกๆ ปี จนถึงปีนี้ก็เปลี่ยนมา 9 เล่มได้แล้ว โดยเล่มล่าสุดจะลงดีเทลเกี่ยวกับ ‘แมว’ ที่เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของบ้านไว้ด้วย เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า เราหรือแมวจะไปก่อนกัน  

“กว่า 10 ปีที่ผ่านมา เรายังคงไปติดตามผลตามที่หมอนัดไม่เคยขาด อย่างที่รู้กันดีว่า มะเร็งไม่มีวันหาย อย่างมากก็แค่โรคสงบ เพราะเราทุกคนล้วนมีเซลล์มะเร็งอยู่ในตัว เมื่อใดที่เซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเปรียบเสมือน ‘ตำรวจ’ ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่าเซลล์มะเร็งที่เป็นเสมือน ‘ผู้ร้าย’ ก็ไม่กล้าเหิมเกริมมายึดร่างกายเราอย่างแน่นอน ทุกวันนี้ส้มจึงเชื่อเสมอว่า มะเร็งกลับมาแน่นอน แค่เราไม่รู้ว่าวันไหนเท่านั้นเอง และถ้ามะเร็งกลับมาอีกครั้งในวันที่ร่างกายเราอาจจะรับมือกับการรักษาไม่ไหว ก็อาจจะเลือกใช้การรักษาแบบประคับประคองไป

“ส้มได้เรียนรู้ว่า เส้นทางของผู้ป่วยมะเร็งนั้นไม่ใช่เส้นทางที่ง่ายเลย แม้จนถึงวันนี้ส้มก็ยังคงจำทุกโมเมนต์และทุกวินาทีที่กว่าจะผ่านมะเร็งมาได้ และเชื่อว่าไม่มีใครเข้าใจโมเมนต์เหล่านี้ได้เท่ากับผู้ป่วยมะเร็งด้วยกัน ส้มจะไม่บอกว่าให้ผู้ป่วยมะเร็งทุกคน‘สู้ๆ’ นะ เพราะคำนี้จะยิ่งทำให้ทุกคนดาวน์กว่าเดิม แค่อยากจะบีบมือและบอกทุกคนว่า ส้มเข้าใจทุกโมเมนต์ที่คุณกำลังเผชิญอยู่ หากเหนื่อยนัก…พักก่อน และคิดเสียว่าอะไรที่ยากๆ นั่นเพราะโรคกำลังสอนอะไรบางอย่างให้กับเรา หรือบางทีพวกเราอาจจะถูกคัดสรรมาแล้วให้ต้องมารับมือกับโรคมะเร็ง — เพราะมีความแข็งแกร่งที่ไม่เหมือนใคร…

แชร์ไปยัง
Scroll to Top