“ไม่มีใครหรอกที่พอรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง
แล้วจะยิ้มรับได้ในทันที
แต่ถ้าเมื่อไรเรายอมรับได้
ก้าวต่อไปก็ไม่ยากอย่างที่คิด”
นก-พัชรินทร์ภรณ์ ศิริวัฒนานุรักษ์ อดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมวัย 42 ปี ที่เคยผ่านการต่อสู้กับมะเร็งมาถึงสองครั้งสองครา ครั้งแรกเธอพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งระยะ 2 ที่เต้านมข้างซ้ายและลุกลามไปต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ 1 ต่อม หลังผ่านการเป็นเจ้าสาวมาหมาดๆ ได้เพียง 3 เดือน ความฝันที่อยากจะมีลูกน้อยมาเป็นโซ่ทองของครอบครัวพังพาบลงทันที เป้าหมายชีวิตทุกอย่างพลิกผันและเปลี่ยนทิศทาง
หลังกระบวนการรักษามะเร็งจบลง เธอตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น เพื่อกลับมาดูแลตัวเองอย่างจริงจัง โดยมี ‘สามี’ เป็นกองหนุนสำคัญที่ทำให้เธอผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนั้นมาจนได้ และนั่นก็ทำให้เธอเข้าใจชีวิตมากขึ้น พยายามดำรงอยู่กับความสุขง่ายๆ และพยายามผ่านทุกความทุกข์ไปให้ได้…อย่างไวที่สุด ชีวิตที่เหมือนจะอยู่ดีมีสุขดำเนินไปกว่า 12 ปีมาหยุดชะงักลงอีกครั้ง เมื่อเธอตรวจพบว่าตัวเองกลับมาเป็นมะเร็งอีกครั้ง และครั้งนี้มาในรูปของมะเร็งพันธุ์ดุที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ HER2
“ครั้งแรกเราเป็นมะเร็งตอนอายุ 29 ปี ตอนที่ไปตรวจนั้นไม่คิดเลยว่าตัวเองจะเป็นมะเร็ง เพราะรู้สึกว่าอายุยังน้อย คิดว่าเป็นแค่ซีสต์ธรรมดา แต่พอผลเจาะชิ้นเนื้อออกมาว่าเป็นมะเร็ง มันเหมือนฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย จำได้ว่านั่งร้องไห้กับสามีในรถ เพราะเรารับไม่ได้ มันกลัวไปหมด เรารู้สึกว่า มะเร็งเท่ากับตาย! เรารู้สึกเหมือนกำลังจะตาย เราเป็นห่วงพ่อแม่ที่แก่ลงทุกวัน และสงสารสามีที่เพิ่งแต่งงานมาได้ 3 เดือน ต้องมาดูแลเรา ที่สำคัญความหวังที่อยากจะมีลูกด้วยกันมันพังหมด…”
ชนะขาดสังเวียนแรก
“แม้เราจะรู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายที่เป็นมะเร็ง แต่อย่างน้อยก็ยังรู้สึกโชคดีที่เราได้อยู่ท่ามกลางคนดีๆ เพราะนอกจากสามีที่เป็นเหมือนกำลังใจสำคัญแล้ว คุณพ่อคุณแม่ของสามีก็ยังเข้าใจเรา เข้าใจโรคนี้ ด้วยความที่คุณแม่ของสามีเป็นพยาบาล ท่านก็บอกให้เราอย่ากังวลเรื่องการมีลูก แนะนำให้เราดูแลตัวเองก่อน และให้กำลังใจเราอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงเจ้านายและเพื่อนๆ ที่ทำงานก็ให้กำลังใจ อนุญาตให้ลาหยุดเพื่อรักษาตัวเองอย่างเต็มที่ ยาตัวไหนที่เบิกประกันสังคมไม่ได้ ทางบริษัทก็ยินดีให้เบิก อีกทั้งเพื่อนทุกสารทิศ ทั้งเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย หรือเพื่อนมัธยม ฯลฯ พอรู้ว่าเราเป็นมะเร็งก็ต่างส่งกำลังใจผ่านทางโซเชียล แนะนำเรื่องต่างๆ นานา ทั้งหมดนี้ช่วยให้เราทำใจยอมรับมะเร็งได้เร็วขึ้น มีกำลังใจที่จะรักษาตัวให้หาย
“หลังผ่าตัดมะเร็งและเลาะต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ที่แขนข้างซ้ายเรียบร้อย เราก็เข้าสู่กระบวนการให้เคมีบำบัดสูตรน้ำขาว 6 เข็ม ซึ่งแทบไม่มีอาการแพ้ใดๆ เลย ไม่อาเจียน ไม่เบื่ออาหาร ไม่ท้องผูก ท้องเสีย เล็บไม่ดำ มีแค่ผมร่วงและรู้สึกมึนๆ อึนๆ แต่ไม่ถึงขั้นทรมานอะไร อาจจะเป็นเพราะเราสามารถกินอาหารได้ มีกำลังใจดีด้วย ทำให้ร่างกายพร้อมต่อสู้กับเคมีบำบัด ซึ่งต้องยกความดีให้วิตามินที่คุณหมอจ่ายให้ ทำให้เรากินอาหารอร่อย จนบางครั้งก็รู้สึกกินอร่อยเกินไป เพราะน้ำหนักขึ้นเอาๆ ผลเลือดผ่านตลอด อาหารทางการแพทย์นี่ไม่ได้ตังค์เราเลย (หัวเราะ)
“คุณหมอจะบอกเสมอว่า คนที่จะอยู่ได้นานและทนคือคนที่กินอาหารได้ดี กินเก่ง ไม่เลือกกิน ที่สำคัญคือนอนให้หลับ ทุกครั้งคุณหมอจะจ่ายยาคลายเครียดมาให้ ผู้ป่วยบางคนไม่ยอมกิน ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลให้ค่าเลือดไม่ผ่าน ต้องเลื่อนการรักษาออกไปก็มี แต่เราไม่ใช่ หมอบอกให้ทำอะไร เราทำหมด”
วิถีของผู้ชนะ
“หลังจากการรักษามะเร็งครั้งแรกจบลง เราตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ เพราะไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตวนลูปเดิม และตั้งใจว่าจะดูแลตัวเองอย่างเต็มที่ อะไรที่เสี่ยงให้มะเร็งกลับมา เราพยายามเลี่ยงหมด ไม่ว่าจะเป็นความเครียด หรือการกินก็พยายามเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ หรือหากอยากอาหารปิ้งย่างนานๆ ที ก็จะใช้วิธีทำกินเองที่บ้าน
“ดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวังมากว่า 12 ปี กระทั่งเมื่อต้นปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงที่เราต้องฟอลโลว์อัปกับคุณหมอเหมือนทุกๆ ปี ปรากฏว่าเจอแจ็กพอตเลย เพราะผลตรวจพบว่ามะเร็งเต้านมกลับมาอีกครั้ง หลังจากรู้ผล เราก็กลับไปหา คุณหมอธมล (พญ.ธมล ลิ้มธนาคม) ซึ่งท่านเคยรักษาเราเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ท่านขออัลตราซาวนด์ดูอีกครั้งพร้อมขอเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ ก่อนจะนัดฟังผลในอีก 1 สัปดาห์ถัดมา ตอนนั้นเราก็เริ่มทำใจแล้วว่า มะเร็งคงจะกลับมา เพียงแต่หวังลึกๆ ว่า อย่าให้ลามไปอวัยวะอื่นเท่านั้น
“พอถึงวันนัดฟังผล จำได้ว่าคุณหมอพูดขึ้นมาสั้นๆ ว่า “มันกลับมานะ” ตอนนั้นน้ำตาไหลเลย ส่งข้อความหาสามีซึ่งนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจ สามีก็บอกว่า “ไม่เป็นไร เป็นก็แค่รักษาอีกรอบ เราเคยผ่านมาแล้ว” ด้วยความที่เป็นช่วงโควิดกำลังระบาด เราก็กลัวว่าการรักษาจะยากลำบากกว่าเดิม แถมครั้งนี้ยังเป็นมะเร็งชนิดดุที่เรียกว่า HER2 อีกทั้งก้อนมะเร็งครั้งนี้ยังมีขนาดกว่า 2.5 เซนติเมตร ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น
“หลังผลออกมาแน่ชัด ทางคุณหมอจึงแนะนำให้ทำ CT Scan ทันที ด้วยกลัวว่ามะเร็งจะลามไปอยู่ในอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย แต่ผลตรวจพบว่า มะเร็งอยู่แค่ที่เต้านมข้างซ้ายเพียง 1 จุด ยังไม่ลุกลามไปที่อื่น ก็เริ่มใจชื้นขึ้นมาหน่อย หลังจากผ่าตัดแล้วคุณหมอก็แจ้งว่าต้องให้ยาเคมีบำบัด 6 เข็ม โดยครั้งนี้เปลี่ยนสูตรมาเป็นสูตรน้ำแดง”
เกือบเพลี่ยงพล้ำสังเวียน 2
“ด้วยความประมาท คิดว่าตัวเองไม่แพ้ยาเคมีบำบัด ทำให้เราไม่ยอมกินยาแก้อาเจียนตามหมอสั่ง ทั้งๆ ที่พยาบาลก็กำชับนักกำชับหนาว่า ต้องกินเลยนะ ก็ยังไม่ยอมกิน คิดว่าตัวเองไหว ไม่เป็นไรหรอกน่า ลืมไปว่าครั้งนี้เป็นยาสูตรน้ำแดงที่แรงกว่าสูตรน้ำขาวครั้งก่อน ปรากฏว่าสาหัสมาก เพราะอาเจียนไป 5 วันติด (หัวเราะ) อาเจียนจนท้อ นั่งเฝ้าชักโครก ร้องไห้ หมดแรง หมดกำลังใจ เกิดมาก็ไม่เคยหนักหนาอะไรขนาดนี้มาก่อน กินอะไรก็ไม่ได้ ได้แต่จิบเกลือแร่ไปทีละนิดๆ
“แต่พอวันที่ 6 ปุ๊บ มันเหมือนปิดสวิตช์เลย อาการอาเจียนหายไปหมด และสิ่งแรกที่เอาเข้าปากได้ก็คือแตงโมแช่เย็น จำได้ว่าวันนั้นเป็นการกินแตงโมที่รู้สึกว่า มันอร่อยที่สุดในชีวิต เกิดมา 42 ปี ไม่เคยกินแตงโมแช่เย็นครั้งไหนที่อร่อยเท่านี้มาก่อน ความรู้สึกเหมือนคนที่ไม่ได้กินอะไรมา 5 วัน แล้วมาเจอแตงโม โอ้โห อร่อยมากกกกกก….
“หลังจากนั้นเป็นต้นมา เราก็ไม่ประมาทอีกเลย กินยาแก้อาเจียนอย่างเคร่งครัด (หัวเราะ) ทำให้ตั้งแต่เข็ม 2 เป็นต้นมาก็ไม่มีอาการอาเจียนอีกเลย อย่างมากก็แค่พะอืดพะอมเท่านั้น จนมาระทึกอีกครั้งตอนเข็มที่ 4 เมื่อยาเคมีบำบัดไม่เข้าเส้น เกิดอาการเบิร์น วันนั้นพยาบาลมารุมดูแลจนเราตกใจ ทั้งเอาน้ำแข็งมาประคบที่เส้นเลือด โทรหาคุณหมอกันจ้าละหวั่น ทั้งจ่ายยาแก้อักเสบ เอาเจลว่านหางจระเข้มาทา ด้วยกลัวแขนเราจะเป็นแผลพุพองจากยาเคมีบำบัด แต่ก็ผ่านมาด้วยดี มีเพียงแผลดำๆ แค่นั้น หลังเคมีบำบัดจนครบ 6 เข็ม ก็เข้าสู่กระบวนการฉายแสงต่ออีก 20 ครั้ง รวมระยะเวลาการรักษาทั้งหมดในครั้งนี้ราว 7 เดือน”
แพ้-ชนะอยู่ที่ ‘ใจ’
“การผ่านมะเร็งทั้งสองครั้งก็เหมือนการผ่านความตายมา ซึ่งเราได้เรียนรู้ว่า การยอมรับความจริงเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งเรายอมรับความจริงได้เร็วเท่าไร เราก็จะอยู่กับมะเร็งได้อย่างไม่ทุกข์มากขึ้นเท่านั้น หลายคนพอรู้ว่าเป็นมะเร็งแล้วทุกข์ เครียด ร้องไห้ กลัวตาย แต่เราอยากจะบอกว่า มะเร็งรักษาได้ ดูอย่างเราเองก็อยู่มาได้กว่า 12 ปี และ 12 ปีที่ผ่านมานี้ คนรอบข้างที่แข็งแรงกว่าเราหลายๆ คนก็ล้มหายตายจากเราไปก่อนเยอะแยะ ทั้งหัวใจล้มเหลว อุบัติเหตุ ฯลฯ นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่า เป็นมะเร็งแล้วไม่ได้หมายความว่าเราต้องตายก่อนคนอื่นๆ เสมอ
“มะเร็งอาจจะทำให้ชีวิตเราทุลักทุเลไปบ้างบางช่วง แต่อย่างน้อยมะเร็งก็ยังให้เวลาและโอกาสได้ทำสิ่งต่างๆ มากมาย มะเร็งสอนให้เรารู้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ มะเร็งสอนให้เราไม่ประมาทในการใช้ชีวิต อยากทำอะไรก็รีบทำ มีความสุขกับอะไรก็รีบตักตวง
“มะเร็งสอนให้เรารู้จักปล่อยวางได้ง่ายขึ้น ยิ่งเราผ่านความทุกข์ไปได้เร็วเท่าไร ชีวิตเราก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น มะเร็งทำให้เรารู้จักจัดลำดับความสำคัญและคนสำคัญในชีวิตได้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เรามองเห็นชัดเจนว่า ใครที่รักและหวังดีกับเราอย่างจริงใจ เรามองเห็นความสุขง่ายๆ รอบตัวเรา ที่ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องยิ่งใหญ่ ไม่ต้องยุ่งยากเหมือนเมื่อก่อน…”
#มะเร็งเต้านมรู้เร็วรักษาเร็วก็หายได้
#เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป
#TBCCLifegoeson
#ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย