นริสสรา เรืองประสิทธิพร : อยากให้ ‘โรค’ นี้ มีแต่รอยยิ้ม

“อยากให้ผู้ป่วยมะเร็งทุกคนออกมาใช้ชีวิต
อย่ามัวแต่ครุ่นคิดอยู่กับโรค เพราะเราจะยิ่งแย่
ให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน คิดถึงแค่ปัจจุบัน”

เบลล์-นริสสรา เรืองประสิทธิพร ภรรยาคนเก่ง ลมใต้ปีกที่ทรงพลังของ เก่ง-เมธาสิทธิ์ เรืองประสิทธิพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เทรลเลอร์คอฟฟี่ จำกัด บาริสต้าระดับประเทศ เจ้าของธุรกิจ เทรลเลอร์ คอฟฟี่ (Trailer Coffee) ร้านกาแฟขวัญใจชาวเชียงใหม่ที่ถูกปลุกปั้นมาด้วยสองหัวใจที่แข็งแกร่ง คู่ชีวิตที่จับมือกันฝ่าฟันอุปสรรคมานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งวิกฤตโควิด-19, ฝุ่นพิษ, สถานการณ์น้ำท่วมหนักสุดในรอบ 50 ปีของเมืองเชียงใหม่ ฯลฯ แต่ทุกครั้งก็สามารถผ่านพ้น ยืนหยัด และค่อยๆ เติบโตจนในปัจจุบันแตกกิ่งก้านมาเป็น 8 สาขา ทั่วเมืองเชียงใหม่ ก่อนจะมาพบกับมรสุมลูกใหญ่อีกครั้ง

“เบลล์และสามีก่อร่างสร้าง ‘เทรลเลอร์ คอฟฟี่’ มาตั้งแต่ปี 2560 ดูแลฟูมฟักมาพร้อมๆ กับลูกสาวของเราเลย แต่เดิมเบลล์ทำงานธนาคาร ส่วนสามีเป็นวิศวกรในโรงงานอุตสาหกรรม แต่ด้วยความที่ชื่นชอบเรื่องกาแฟมาแต่ไหนแต่ไร เขาก็เริ่มศึกษาอย่างจริงจัง ก่อนจะตัดสินใจต่อรถพ่วงลากเพื่อขายกาแฟตามตลาดนัดในชื่อ ‘เทรลเลอร์ คอฟฟี่’ เพื่อเป็นรายได้เสริมของครอบครัว จำได้เลยว่าขายอยู่แค่ 2 วัน รายได้เท่ากับเงินเดือนทั้งเดือนเลย ก็ทำให้เราคิดว่า หากขายทุกวันล่ะ จะได้เงินขนาดไหน ไม่นานนักสามีก็ตัดสินใจทิ้งงานประจำ ลาออกมาขายกาแฟอย่างเดียว 

“พอธุรกิจเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ก็มีความคิดที่จะขยายสาขา 2 สามีก็ชวนให้เบลล์ลาออกจากงาน ตอนนั้นเราเป็นผู้ช่วยผู้จัดการธนาคาร ซึ่งงานจะค่อนข้างหนักและเครียด ออกจากบ้าน 7 โมงเช้า กลับ 4 ทุ่ม ทุกวัน ลูกสาวตอนนั้นก็เพิ่งอายุ 1 ขวบ กอปรกับคุณพ่อก็กำลังป่วยหนักเป็นมะเร็งปอดระยะ 3 เราจึงตัดสินใจลาออกมา เพื่อจะมาดูแลพ่อด้วยส่วนหนึ่ง แต่ไม่นานคุณพ่อก็จากไป หลังจากนั้นเราก็มาลุยธุรกิจกับสามีอย่างเต็มตัว โดยตั้งปณิธานไว้กับตัวเองเลยว่า เราจะเป็นหลังบ้านที่ดีให้สามีในทุกมิติ เขาบุกเบิก ลุยที่ไหน เราก็จะรีบเดินตามให้ไว คอยสนับสนุนในทุกเรื่อง ปัจจุบันนอกจากเทรลเลอร์ คอฟฟี่จะทำธุรกิจร้านกาแฟกว่า 8 สาขาแล้ว เรายังมีบริการเป็นที่ปรึกษา สอนชงกาแฟ และมีชอปจำหน่ายเครื่องทำกาแฟหลายๆ แบรนด์ ทั้งมือหนึ่งและมือสอง พร้อมรับซ่อมเครื่อง เรียกว่าเป็น One stop service ที่ครบวงจรแห่งหนึ่งของเมืองเชียงใหม่

“ชีวิตทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่แล้วเราก็มาเจอกับภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดของเชียงใหม่ ราวเดือนกันยายน 2567 ทำให้สาขาที่ถนนช้างคลานน้ำท่วมถึงระดับคอ ทุกอย่างในร้านพัง เสียหายหมด หลังจากน้ำลด เราก็มาช่วยกันยกของและกระสอบทราย นั่นทำให้เราเกิดอาการเจ็บร้าวที่หน้าอก เราก็คิดว่า น่าจะเป็นอาการกล้ามเนื้ออักเสบจากการยกกระสอบทรายนี่แหละ แต่พอลองบีบนวดดู พบว่ามีก้อนเล็กๆ ขนาดเมล็ดถั่วเขียวบริเวณใต้ราวนมด้านขวา พอใช้นิ้วจิ้มลงไปจะรู้สึกแปลบๆ เหมือนไฟช็อต จึงเกิดความกังวลใจ ตัดสินใจว่าจะไปหาหมอและขอแมมโมแกรมเลยดีกว่า”

การรอคอยคำตอบที่แสนทรมาน

“ที่ผ่านมาเบลล์จะตรวจสุขภาพประจำปีในวันเกิดทุกๆ ปี ไม่เคยขาด เพียงแต่ก่อนหน้านี้ ด้วยความที่อายุไม่ถึง 40 ปี และไม่ได้มีอาการผิดปกติใดๆ รวมถึงไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยง คุณหมอก็จะแนะนำให้ตรวจเฉพาะอัลตราซาวนด์และเอกซเรย์เต้านมเท่านั้น ยังไม่เคยแมมโมแกรม แต่ปีที่แล้วเรากำลังอายุจะครบ 40 ปี ในวันที่ 12 ตุลาคม 2567 ก็ตั้งใจแล้วว่า ถ้าตรวจสุขภาพปีนี้ ก็จะขอคุณหมอตรวจแมมโมแกรมแน่นอน แต่พอมีอาการเจ็บร้าวมาก่อน จึงตัดสินใจตรวจแมมโมแกรมไปเลยแล้วกัน 

“จำได้ว่าพอขอคุณหมอตรวจแมมโมแกรม ท่านก็ถามทันทีว่า ‘ทําไมถึงมาตรวจ’ เราก็แจ้งคุณหมอว่า หลังจากที่ไปยกกระสอบทรายแล้วมีอาการเจ็บร้าวที่หน้าอก จึงลองบีบนวดดู ก็พบก้อนที่บริเวณใต้ราวนมด้านขวาและมีอาการแปลบๆ เหมือนไฟช็อต จึงอยากรู้ว่าเป็นก้อนอะไร คุณหมอจึงยอมให้แมมโมแกรมในเช้าวันนั้นและรอฟังผลช่วงบ่ายเลย ผลออกมาก็พบก้อนเนื้อขนาด 1.7×1.6 เซนติเมตร คุณหมอจึงทำเรื่องส่งตัวต่อไปที่ศัลยแพทย์ทันที และก็ได้คิวเจาะชิ้นเนื้อในเย็นวันนั้นเลย

“ระหว่างที่เซ็นในเอกสารยินยอมให้คุณหมอตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ มือไม้สั่นไปหมด เพราะวันนั้นเราไปโรงพยาบาลคนเดียว และไม่ได้เตรียมใจไปเลย ระหว่างที่คุณหมอศัลย์ทำการผ่าตัดชิ้นเนื้ออยู่นั้น ก็ยังเปรยๆ กับเราว่า รูปทรงของก้อนดูไม่ค่อยดีเท่าไร จากนั้นคุณหมอก็นัดให้กลับมาฟังผลในสัปดาห์ถัดมา แม้ลึกๆ ในใจจะคิดเข้าข้างตัวเองว่า ไม่ใช่หรอก แต่ก็นับว่าเป็นสัปดาห์แห่งการรอคอยคำตอบที่ทรมานที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลยก็ว่าได้”

คุณค่าของคู่ชีวิต

“พอถึงวันนัด เบลล์และสามีก็ไปฟังผลด้วยกัน ซึ่งก็เป็นข่าวร้ายจริงๆ วินาทีที่คุณหมอแจ้งผลชิ้นเนื้อว่าเป็นเนื้อร้าย เบลล์หูดับ ฟังอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว ส่วนสามีที่นั่งข้างๆ ก็ร้องไห้ขึ้นมาทันที นับตั้งแต่เราผ่านอุปสรรคอะไรกันมามากมาย เบลล์เพิ่งเห็นน้ำตาเขาก็วันนั้น ซึ่งทำให้เรายิ่งต้องเข้มแข็ง แม้ข้างในเราจะกลัว…กลัวมาก เพราะความคิดในตอนนั้น คือ มะเร็ง=ตาย ตายอย่างเดียว พ่อก็เพิ่งจากไปด้วยโรคมะเร็งปอดได้เพียง 5 ปี ภาพที่พ่อเอาแต่อาเจียน กินอะไรไม่ได้ ถ่ายไม่ออก ร่างกายผอมลงเรื่อยๆ จนเหลือแค่ 35 กิโลกรัม ทั้งๆ ที่ท่านตัวสูงกว่า 178 เซนติเมตร กลับมาตอกย้ำจนเกิดเป็นคำถามวนอยู่ในหัวเราว่า เรากำลังจะตายใช่ไหม…

“ที่ผ่านมาเราดูแลสุขภาพมาตลอด ตรวจสุขภาพทุกปี ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ที่ส่อให้เราคิดได้ว่าเป็นมะเร็งเลย เต้านมไม่มีผื่น ไม่บวม ไม่แดง ไม่เป็นหนอง ไม่มีรอยบุ๋ม หัวนมก็ไม่รั้ง ฯลฯ ยิ่งไปกว่านั้นเราเป็นแม่ที่ให้นมบุตรและมีการตรวจคลำเต้านมตัวเองเป็นประจำเวลาอาบน้ำ ด้วยความที่คุณย่าเคยเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน จึงทำให้เราเฝ้าระวังตัวอยู่พอสมควร และไม่เคยรู้สึกว่ามีก้อนดังกล่าวอยู่ในชีวิตมาก่อนเลย ทำให้เราไม่ได้เตรียมใจไปรับข่าวร้ายในวันนั้น 

“แต่ที่ทำให้เบลล์รู้สึกเฟลที่สุดก็คือการมาพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งในวันที่ธุรกิจที่ก่อร่างสร้างขึ้นมากับมือกำลังเกิดวิกฤตจากน้ำท่วมเชียงใหม่รอบที่ 2 ขณะที่ลูกสาวซึ่งเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจเราก็ยังอยู่ในวัยเพียง 8 ขวบ ทุกอย่างทำให้เรากังวลไปหมด รู้สึกว่าชีวิตมืดแปดด้าน ก่อนจะมีเสียงสามีดังขึ้นมาเพื่อเตือนสติว่า ‘ตั้งสตินะ ค่อยๆ คิดกัน เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว’

“หลังจากวันนั้นมา สามีก็จะคอยอยู่ข้างๆ ในทุกสเต็ปต์การรักษา ไม่ว่าจะแย่ ท้อ ร้องไห้ หรือยิ้มได้ หันไปเมื่อไรก็จะเจอเขาเสมอ เขาไม่เคยทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยว และหลังจากให้คีโมทุกๆ เข็ม เขาก็มีกิจกรรมหรือสถานที่เที่ยวเตรียมไว้ให้เป็นรางวัลฮีลใจ ด้วยความที่เขาเป็นที่ปรึกษาให้ร้านกาแฟหลายๆ จังหวัด พอไปทำงานที่ไหนก็จะพาเราไปเที่ยวด้วยเสมอ นั่นเองที่ทำให้เราเข้าใจความหมายของคำว่าคู่ชีวิตอย่างถ่องแท้ คู่ที่ไม่ว่าชีวิตจะเจอกับอะไร เราก็จะจับมือกันไปทุกสถานการณ์ สุข ทุกข์ ท้อแท้ หมดหวัง เราก็จะไม่ปล่อยมือกัน”

ตำราชีวิตของครอบครัว

“ด้วยความที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสามคนพ่อ แม่ ลูก มาตลอด 8 ปี เราอยู่ด้วยกันในทุกช่วงเวลา และคิดว่าลูกสาวโตพอจะรู้เรื่องแล้ว เบลล์จึงอยากให้เขาเข้าใจสถานการณ์ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือไปด้วยกัน เบลล์จึงตัดสินใจบอกลูกสาวไปตรงๆ ว่า เรากำลังเผชิญอะไรอยู่ เพราะเบลล์ไม่รู้จริงๆ ว่าเราจะอยู่กับลูกได้อีกนานแค่ไหน และไม่รู้ว่าโรคนี้จะพรากเราจากกันเมื่อไร จึงอยากให้เขารู้จักดูแลตัวเองและพยายามทำอะไรด้วยตัวเองให้มากที่สุด หลังจากนั้นไม่นานเราก็สัมผัสได้ว่า เขาได้เปลี่ยนไปจริงๆ เขาพยายามช่วยเหลือตัวเองในทุกเรื่อง ทุกอย่าง และไม่ว่าเราจะทำอะไร เขาก็จะคอยมาซัปพอร์ตเราด้วย ทำให้เราเห็นได้เลยว่า มะเร็งในครั้งนี้เป็นเหมือนตำราชีวิตเล่มใหญ่ที่เข้ามาสอนทุกคนในครอบครัว

“หลังจากรู้ผล อีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมาคุณหมอก็นัดผ่าตัดเต้านมด้านขวาออกทั้งหมด เพราะจากผลตรวจคุณหมอสันนิษฐานว่า เราน่าจะเป็นมะเร็งระยะ 2 และเพื่อป้องกันการลุกลามของมะเร็งจึงอยากเอาเนื้อเต้านมออกทั้งหมด โดยหากจบการรักษาแล้ว เราจะกลับมาเสริมสร้างเต้านมใหม่…ก็ไม่มีปัญหา ระหว่างผ่าตัดคุณหมอยังทำการเลาะต่อมน้ำเหลืองไปตรวจกว่า 13 ต่อม และพบเชื้อมะเร็ง 4 ต่อม จากที่คาดว่าเป็นแค่มะเร็งเต้านมระยะ 2 ก็กลายเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะ 3 ไปโดยปริยาย 

“จากนั้นคุณหมอศัลย์ก็ส่งตัวต่อไปยังคุณหมอด้านมะเร็งเพื่อวางแผนการรักษา โดยจะเริ่มจากการให้คีโมสูตรน้ำแดง 4 เข็ม หลังพักฟื้นจากการผ่าตัด 1 เดือน และต่อด้วยคีโมสูตรน้ำขาวอีก 4 เข็ม รวมทั้งหมด 8 เข็ม จากนั้นจะฉายแสงต่ออีก 25 แสง ก่อนจะให้กินยาต้านฮอร์โมนทาม็อกซิเฟน (tamoxifen) ต่อเนื่องไปอีก 10 ปี”

ด่านหินของการรักษา

“เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า คีโมคือด่านหินในการรักษามะเร็ง และคุณพ่อก็จากไประหว่างการรักษามะเร็งปอดด้วยอาการแพ้คีโม เราจึงฝังใจและกลัวการให้คีโมมาก กลัวว่าตัวเองจะมีอาการอย่างที่คุณพ่อเคยเป็น จนสามีต้องคอยเบรกว่า  ‘อย่าไปคิดๆๆๆ’ เพราะเขาไม่อยากให้เราคิดล่วงหน้าไปถึง ‘สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น’ จึงพยายามดึงเรากลับมาอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับผู้ป่วยมะเร็งอย่างเรา

“จำได้ว่าคีโมเข็มแรก เราระวังตัวเองมากเป็นพิเศษ โดยคุณหมอก็แจ้งไว้ก่อนแล้วว่า จะมีอาการอาเจียน กินอะไรไม่ได้ และรู้สึกพะอืดพะอมตลอดเวลา ด้วยความที่ตอนนั้นเรายังหาคนมาทำงานแทนไม่ได้ จึงบอกคุณหมอไปตรงๆ ว่า เรายังอยากใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะมีหน้าที่หลายอย่างที่ต้องรับผิดชอบ และยังอยากทำงานอยู่ คุณหมอจึงแนะนำยาแก้อาเจียนมาให้ตัวหนึ่ง ซึ่งออกฤทธิ์ช่วยระงับประสาทไม่ให้อาเจียนได้ประมาณ 5 วัน เป็นยาแคปซูล เม็ดละ 4,300 บาท ซึ่งเป็นยานอกบัญชี ไม่สามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมได้ โดยต้องกินก่อนให้คีโมสูตรน้ำแดง 1 ชั่วโมง ซึ่งปรากฏว่าได้ผล เราแทบไม่มีอาการอาเจียนใดๆ และสามารถทำงานและใช้ชีวิตได้ตามปกติ

“ถามว่า จำเป็นต้องกินยาตัวนี้ไหม ก็ต้องบอกว่า ไม่จำเป็น เพราะจริงๆ คุณหมอก็มียาตัวอื่นๆ ที่บรรเทาอาการได้ โดยสามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมได้ด้วย แต่ด้วยภาพจำของคุณพ่อที่อาเจียนหนัก กินอะไรไม่ได้เลย ทรมานมาก ถึงจะมีอาหารดีๆ อยู่ตรงหน้ามากมายก็กินไม่ได้ ทำให้ร่างกายท่านไม่มีสารอาหารใดๆ เข้าไปเลย สุดท้ายร่างกายก็ทรุดลงเรื่อยๆ จนท่านจากไปยังเป็นภาพที่ติดอยู่ในใจเรา และเราก็ไม่อยากให้อาการนั้นเกิดขึ้นกับเรา จึงยอมทำทุกทาง เพราะเชื่อว่าตราบใดที่เราไม่อาเจียน ถึงจะไม่อยากกินอาหารแค่ไหน แต่ก็ยังฝืนทนกินเข้าไปได้ เพราะเรารู้ว่าอาหารนั้นสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง และนั่นเองที่ทำให้ค่าเลือดเราผ่านฉลุยให้ทุกเข็ม โดยไม่ต้องอัดไข่ อัดนม หรืออาหารทางการแพทย์ แค่เน้นอาหารปกติให้ครบ 3 มื้อ เพียงเท่านี้ค่าเลือดก็ผ่านได้เช่นกัน 

“ที่สำคัญร่างกายระหว่างการรักษาก็ยังเป็นปกติ ไม่ได้อ่อนเพลียถึงขั้นนอนซม จนเพื่อนๆ ที่ให้คีโมด้วยกันยังกระซิบถามว่า ‘ทำไมเธอดูเหมือนไม่ใช่คนป่วยเลย’ เพราะผู้ป่วยที่ให้คีโมคนอื่นน้ำหนักลดลง แต่เรากลับน้ำหนักขึ้นมา 4 กิโลกรัม จนบางทีเราก็อดพูดเล่นกับสามีไม่ได้ว่า ‘ป๊า…เค้าป่วยเป็นมะเร็งจริงๆ เปล่าเนี่ย หรือคุณหมอให้ยาอะไรผิดหรือเปล่า’ (หัวเราะ) เพราะหลังสัปดาห์แรกของการให้คีโม เรากินอาหารอร่อยทุกมื้อ ไม่มีมื้อไหนที่ไม่อยากกินเลย ยิ่งช่วงให้คีโมสูตรน้ำขาว เข็มที่ 5-8 ไม่กินไข่ขาวเลย เพราะเห็นไข่แล้วเริ่มไม่โอเค (หัวเราะ) แต่จะหันไปกินเมนูโปรดอย่าง ‘คากิ’ โดยจะกินอย่างน้อยๆ สัปดาห์ละ 1 วัน เพื่อฮีลใจ และนี่คงจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ค่าเลือดผ่านฉลุย รวมถึงน้ำหนักพุ่งขึ้นมากว่า 4 กิโลกรัม”  

กฎเหล็กของบ้าน

“ผลข้างเคียงที่หนักๆ น่าจะเป็นระหว่างให้คีโมสูตรน้ำขาวที่จะมีอาการปวดร้าวกระดูกช่วงสัปดาห์แรกหลังให้คีโม เหมือนถูกคัตเตอร์กรีดกระดูกทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นบริเวณเชิงกราน หว่างขา แม้กระทั่งกระดูกช่วงคิ้วก็ปวด ปวดมาก ปวดตลอดเวลา เวลาเดินก็จะเหมือนหุ่นยนต์โรโบคอป และหลังจากนั้นมือเท้าก็จะเริ่มชา แต่เราก็ยังคงขับรถไปทำงานทุกวัน ใช้ชีวิตอยู่กับการเมาท์มอยเรื่องนั้นเรื่องนี้กับเจ้าของร้านอาหารจานโปรด เพื่อจะได้ไม่มาโฟกัสกับอาการเจ็บปวดต่างๆ 

“ยิ่งไปกว่านั้น เรายังมีข้อตกลงร่วมกันระหว่างทุกคนในครอบครัวว่า ระหว่างที่รักษาตัวอยู่นี้ให้ทุกคนทำหน้าที่ที่เคยทำไปตามปกติ ไม่ต้องมาห่วงหรือกังวลอะไรกับเราเลย ไม่ต้องมาเตรียมอาหารหรือมาดูแลอะไรทั้งนั้น เพราะเราไม่อยากเป็นภาระใคร สำคัญกว่านั้นคือเราต้องการตัด ‘ความคาดหวัง’ ทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ถ้าเขาเคยทำสิ่งนี้ให้แล้ว วันหนึ่งเขาไม่ได้ทำให้เรา เรากลัวจะมีอารมณ์คาดหวัง น้อยใจ เสียใจ คิดมาก ฯลฯ เดี๋ยวจะเลยเถิดไปเป็นซึมเศร้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ง่ายมากกับผู้ป่วยระหว่างการรักษาตัว นั่นจึงเป็นที่มาของข้อตกลงหรืออาจจะเรียกว่ากฏเหล็กของบ้าน เพื่อจะไม่มีความคาดหวังระหว่างกัน และเมื่อไม่คาดหวัง เราก็จะไม่ผิดหวังนั่นเอง นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราพยายามดูแลตัวเองให้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงจะปวดกระดูกแค่ไหน ก็ยังต้องขับรถออกไปกินข้าวร้านโปรด ออกไปนั่งเมาท์กับคนนั้นคนนี้ เพราะไม่อยากนั่งจมอยู่กับโรคคนเดียว

“ตลอดระยะการรักษาประมาณ 10 เดือน เบลล์จึงเป็นคนป่วยที่ไม่เคยหยุดทำงานและยังคงใช้ชีวิตตามปกติ กิน เที่ยว นั่งเมาท์มอยไปตามประสาได้ทุกวัน ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าไปไกล ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งในปัจจุบันนี้มีทางเลือกมากขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่เหมือนในอดีตอีกแล้ว” 

ก้าวข้ามวันแรกไปให้ได้

“เบลล์เชื่อว่า ณ วันแรกที่เรารู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง คือ ช่วงเวลาที่ยากที่สุดสำหรับผู้ป่วยทุกคน เพราะเราไม่รู้จะรับมือกับมันอย่างไร ผู้ป่วยหลายคนก็รับมือไม่ได้ เบลล์เองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้นที่ใจเรารับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ในหัวจะมีแต่คำถามวนลูปอยู่แค่ว่า ทำไมต้องเป็นเรา  ทำไมคนนั้นไม่เป็น  ทำไมเราถึงเป็น ฯลฯ แต่ถ้าเราหลุดจากตรงนั้นมาได้ ก็จะไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว ซึ่งก็ต้องยกความดีทั้งหมดให้ ‘สามี’ ที่ช่วยพูดเตือนสติให้เบลล์กลับมาโฟกัสกับปัจจุบัน ทิ้งความกังวลในอนาคต และไม่โทษอดีตที่ผ่านมา ถ้าไม่ได้คำพูดของสามีในวันนั้น เชื่อว่า ถึงวันนี้เบลล์ก็คงยังมีคำถามวนเวียนอยู่ในหัวไม่รู้จบ

“ทุกวันนี้เบลล์เชื่อเสมอว่า ‘สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ’ เพราะหากย้อนกลับไปในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเชียงใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้เราอาจจะมองว่า มันเข้ามาทำลายธุรกิจ ทำลายชีวิตเรา เป็นโชคร้าย แต่หากเราพิจารณาดีๆ ก็จะเห็นว่า น้ำท่วมครั้งนั้นก็มีส่วนที่ทำให้เบลล์รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งเร็วขึ้น เพราะถ้าน้ำไม่ท่วม และเราไม่ได้ไปยกถุงทราย เราคงไม่มีอาการร้าวที่หน้าอก และอาจจะยังไม่ได้แมมโมแกรมในวันนั้น 

“และแม้มะเร็งจะเป็นโรคร้ายหรือโชคร้ายของใครหลายๆ คน แต่สำหรับเบลล์แล้ว วันนี้มะเร็งเป็นเหมือนบททดสอบใจที่ทำให้เราได้รู้ว่า ใจเราแกร่งแค่ไหน กว่าเราจะมาถึงวันนี้ได้ นอกจากร่างกายที่ต้องพร้อมแล้ว ใจก็ต้องสู้ไม่ถอยด้วย ก็มีบ้างที่มีอารมณ์อ่อนแอ ท้อแท้ สิ้นหวังระหว่างการรักษา แต่เชื่อเถอะว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา สักพักก็จะผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวด ความทุกข์ท้อ ฯลฯ ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน หากเราไม่ยึดติดไว้ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ขอแค่อดทนและยิ้มสู้เข้าไว้”

#มะเร็งเต้านมรู้เร็วรักษาเร็วก็หายได้
#เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป 
#TBCCLifegoeson
#ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย

แชร์ไปยัง
Scroll to Top