
#ช่วยจัดการกับความเครียดได้ดี
#ป้องกันภาวะหมดไฟหรือ Burnout ได้ดี
#ช่วยเติมพลังชีวิต
#ส่งผลดีต่อสุขภาพใจ
#เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
#กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
#สร้างสมดุลให้ชีวิต
ข้างต้นนี้เป็นส่วนหนึ่งในข้อดีของภาวะขี้เกียจของคนเรา ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ความขี้เกียจมีประโยชน์มากกว่าที่คิด อีกทั้งความขี้เกียจยังเป็นสิ่งที่มีอยู่ในคนทุกคน อยู่ที่ว่าจะมีมากหรือน้อยเท่านั้น ที่เหลือเชื่อกว่านั้นพฤติกรรมความขี้เกียจยังไม่ได้มีในเฉพาะกับมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพบได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ไปจนถึงแมลงตัวเล็กๆ
จะเห็นได้ว่า ความขี้เกียจแฝงอยู่ในทุกๆ ชีวิต แม้แต่ในคนที่ประสบความสำเร็จสูง ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาระดับโลกหรือแม้แต่ CEO ที่ทำงาน 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็พบรายงานว่าพวกเขาอยากจะขี้เกียจเช่นกัน หรือแม้แต่ในอัจฉริยะบุคคลอย่าง ‘ชาร์ลส์ ดาร์วิน’ นักธรรมชาติวิทยาผู้ยิ่งใหญ่ก็เป็นหนึ่งในนั้น หากศึกษาประวัติของเขา จะเห็นได้ว่าทั้งครูและพ่อแม่ต่างก็ปวดหัวกับการพยายามให้เขาเรียนแกรมม่าและคณิตศาสตร์ในโรงเรียน และบ่อยครั้งเขายังหลับในคาบเรียนอีกด้วย
หรือ ‘วินสตัน เชอร์ชิล’ อดีตนายกรัฐมนตรีคนสำคัญของประเทศอังกฤษที่ได้ผลการเรียนที่ไม่ดีนัก ด้านกีฬาก็ไม่สนใจ ส่วนกิจกรรมยามว่างที่ชอบทำประจำคือการนั่งเฉยๆ บนเก้าอี้หิน รวมถึง ‘คาร์ล มาร์กซ์’ นักปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ นักทฤษฎีการเมือง นักสังคมวิทยา นักหนังสือพิมพ์ และนักสังคมนิยมปฏิวัติชาวเยอรมันผู้มีชื่อเสียง ในอดีตเขาไม่อยากทำงานอะไรเลย และเคยใช้เงินแม่ที่ฐานะไม่ค่อยดีเพื่อปาร์ตี้เป็นเดือนๆ ก่อนที่การศึกษาค้นคว้าของเขาจะเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล
นี่ยังไม่รวมถึงอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, ไอแซก นิวตัน และปาโบล ปิกัสโซ กับคนดังคนอื่นๆ ที่สามารถประสบความสำเร็จจนกลายเป็นที่รู้จัก ล้วนเป็นข้อพิสูจน์ว่า แม้ใครๆ จะมองว่าความขี้เกียจเป็นเรื่องผิด ไม่ดีอย่างไร แต่ก็ไม่ใช่ ‘คนขี้เกียจ’ จะไปไม่ถึงฝั่งฝันได้ บางคนหาวิธีพาตัวเองไปไกลกว่าที่คิด


ว่ากันว่าความขี้เกียจยังเป็นอีกรูปแบบหนึ่งในการแสดงออกของผู้ที่มักใช้ ‘สติปัญญา’ มากกว่าร่างกาย เรียกว่าจะลงมือทำได้ ก็ง่วนอยู่กับความคิดแล้ว คิดอีก เพื่อให้การลงทุนลงแรงในแต่ละครั้งคุ้มค่า คุ้มเวลา แต่ใช้พลังงานของร่างกายน้อยที่สุด นั่นเองที่ทำให้ ‘สมอง’ ของคนขี้เกียจใช้พลังงานมากกว่าคนส่วนใหญ่ในการตัดสินใจ โดยอาจจะใช้พลังงานจากร่างกายมากถึง 20-30 เปอร์เซ็นต์ทีเดียว และหากจะมองกันตามตรง สิ่งประดิษฐ์และเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายในโลกทุกวันนี้ มักมาจากความขี้เกียจ-คนขี้เกียจ และธุรกิจระดับโลกมากมายก็ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติของ ‘ความขี้เกียจ’ มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น
#สมาร์ทโฟน ซึ่งรวมทุกอย่างไว้ในเครื่องเดียวเพื่อความสะดวกสบาย
#เว็บไซต์ชอปปิงออนไลน์ เช่น Amezon ที่ให้ผู้คนซื้อขายได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว
#เว็บไซต์ที่ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่น Facebook เพื่อให้ผู้คนติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายขึ้น
รวมถึงบริษัทเดลิเวอรี่ทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่ใช้ประโยชน์จากความขี้เกียจในการทำธุรกิจ
แต่ก็นับเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จมากในโลกปัจจุบัน


จึงไม่แปลกเลยที่ครั้งหนึ่ง บิล เกตส์ มหาเศรษฐีบริษัท Microsoft เคยกล่าวไว้ว่า “ผมมักจะเลือกคนขี้เกียจให้ทำงานยากๆ เสมอ เพราะเขาสามารถหาวิธีที่ง่ายที่สุดในการทำมันได้” เช่นเดียวกับการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Journal of Health Psychology ปี 2015 ที่พบว่า คนที่เคลื่อนไหวร่างกายน้อย มักจะฉลาดกว่าคนที่เคลื่อนไหวทางร่างกายมากกว่า ส่วนหนึ่งน่าจะมาจาก
#คนขี้เกียจมักจะมองหาวิธีการทำงานที่รวดเร็วแต่มีประสิทธิภาพมากที่สุดอยู่เสมอ
#คนขี้เกียจมักจะรู้ว่าเวลาไหนควรพักและเวลาไหนควรทำงาน
#คนขี้เกียจมักจะโฟกัสไปยังจุดมุ่งหมายในชีวิตมากกว่าสิ่งอื่น
#คนขี้เกียจมักจะใช้ชีวิตชิลล์และผ่อนคลายมากกว่า
เพื่อเป็นต้อนรับ ‘วันขี้เกียจสากล’ (International Day of Laziness) ที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ TBCC ขอชวนทุกคนมาลองปล่อยตัวปล่อยใจอนุญาตให้ตัวเอง ‘ขี้เกียจ’ สักวัน เพราะการขี้เกียจก็เป็นเหมือนการพักผ่อนอย่างหนึ่ง ย่อมส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้นอย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องอยู่ภายใต้กฎเหล็กของการขี้เกียจ 3 ข้อ คือ
- รู้เวลาขี้เกียจ คือ รู้ว่าเวลาไหนควรพัก และเวลาไหนควรทำงาน
- ขี้เกียจให้ถูกที่ถูกทาง อย่าเป็นคนขี้เกียจที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ ขี้เกียจต้องดูสถานที่ ดูผู้คนที่แวดล้อมด้วย เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เราจะแสดงความขี้เกียจออกมาได้
- ขี้เกียจได้ ต้องมี Productivity ด้วย พูดง่ายๆ ว่า ต้องเป็นคนขี้เกียจที่ทำงานเก่ง ความขี้เกียจนั้นจึงไม่เป็นภัยกับเรา


ขอบคุณข้อมูลจาก
https://techsauce.co
https://www.healthline.com
https://www.bangkokbiznews.com
https://thestandard.co