ธันยนันท์ วัชรธัญญฉัฐ : เพื่อโลกนี้จะไม่มีใครจากไปด้วยโรคมะเร็ง 

“วัตถุประสงค์ในงานวิจัยของเรา
เพื่อค้นพบ biomarker หรือตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ  
ที่จะช่วยให้ตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยได้ในระยะเริ่มต้น  
ซึ่งหากสำเร็จ นั่นหมายความว่า
จะทำให้การตรวจวินิจฉัยมะเร็งง่ายขึ้น เจอโรคไวขึ้น
มีโอกาสช่วยผู้ป่วยให้เข้าสู่การรักษาก่อนโรคจะลุกลาม
และแน่นอนว่าช่วยชีวิตผู้ป่วยมะเร็งได้มากขึ้น”  

เอ-ธันยนันท์ วัชรธัญญฉัฐ นักวิจัยชำนาญการวัย 42 ปี อดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่เปี่ยมไปด้วยพลังความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะค้นพบ ‘ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพสำหรับโรคมะเร็ง’ (Cancer Biomarker) จากโปรตีนในเซรั่มหรือพลาสมาของผู้ป่วยมะเร็งที่มีการแสดงออกเปลี่ยนแปลงไป (มากขึ้นหรือน้อยลง) จากคนสุขภาพปกติ อีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การตรวจจับและวินิจฉัยโรคมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น รวมถึงทำนายการดำเนินโรค สามารถบอกได้ว่า ใครมีความเสี่ยงหรือมีโอกาสป่วยมะเร็ง และผู้ป่วยมะเร็งรายใดมีความเสี่ยงสูงหรือต่ำในการกลับเป็นซ้ำโรคมะเร็งในอนาคต อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยในการเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะสมและเฉพาะเจาะจงกับผู้ป่วยในแต่ละบุคคลได้อย่างแม่นยำ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุดและลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งให้ได้มากที่สุดนั่นเอง

“ที่ผ่านมา เรายังไม่พบ Biomarker ใหม่ๆ ที่ดีพอในการจะใช้วินิจฉัยหรือแยกผู้ป่วยมะเร็งในระยะเริ่มต้นออกจากระยะท้ายได้จริงๆ จึงเป็นเหตุผลให้งานวิจัยนี้ยังอยู่ในกระบวนการค้นพบในห้องแล็บ ยังไม่สามารถนำไปใช้งานได้ แต่เราก็ไม่ยอมแพ้ ยังคงพยายามค้นหา Biomarker ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ยิ่งเราผ่านการเป็นมะเร็งมาแล้ว เราก็ยิ่งตระหนักว่าสิ่งนี้สำคัญแค่ไหน เพราะการพบรอยโรคไวก็จะทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่การรักษาได้ไว และแน่นอนว่าโอกาสหายจากโรคนี้ก็จะสูงขึ้น การสูญเสียผู้ป่วยจากโรคนี้ก็จะน้อยลง จนไม่มีใครต้องสูญเสียคนรักจากโรคนี้อีกเลย นี่คือความหวังสูงสุดในการทำงานวิจัยครั้งนี้”  

เมื่อนักวิจัยกลายเป็นผู้ป่วย 

“ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน เราคลำพบก้อนที่หน้าอกด้านขวาเยื้องลงมาด้านล่างซ้ายของเต้านมระหว่างที่อาบน้ำ นั่นเป็นครั้งแรกที่พบและพยายามคิดในแง่ดีว่าอาจจะเป็นถุงน้ำหรือเนื้องอกธรรมดา แต่ก็ไม่ได้ชะล่าใจ พอหาเวลาว่างได้ก็รีบไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งทันที หลังจากตรวจอัลตราซาวนด์ คุณหมอก็สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเนื้องอกธรรมดา จึงนัดติดตามผลอีก 6 เดือนต่อมา 

“แต่หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเดือน ด้วยความกังวลเราก็เฝ้าสังเกตและพยายามคลำ จนเริ่มรู้สึกว่าก้อนที่หน้าอกนั้นมีขนาดโตขึ้น แต่ด้วยช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใกล้มีประจำเดือน คิดว่าน่าจะเป็นผลมาจากฮอร์โมน จึงรอจนประจำเดือนผ่านไปสักพัก โดยระหว่างนั้นเราก็พยายามสังเกตอาการอื่นๆ ที่จะบ่งชี้ได้ว่าเป็นมะเร็งเต้านม เช่น เต้านมผิดรูป มีอาการคัน มีของเหลวไหลออกมาจากหัวนม หรือมีผิวเปลือกส้ม ฯลฯ ซึ่งไม่มีอาการเหล่านั้นเลย จึงทำให้เข้าใจว่า น่าจะไม่ใช่มะเร็งเต้านมหรอก แต่ด้วยก้อนที่เต้านมยังโตจนปูดออกมาและสามารถมองเห็นด้วยตาได้ เราจึงกลับไปหาคุณหมออีกครั้งก่อนที่จะถึงเวลานัด โดยครั้งนี้คุณหมอแทบไม่ต้องคลำเลย เพราะก้อนโตจนเห็นได้ชัด จากนั้นคุณหมอก็นัดผ่าตัดก้อนดังกล่าวออกในอีก 2-3 วันถัดมาทันที โดยไม่ได้ทำแมมโมแกรม อัลตราซาวนด์ หรือเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจเลย 

“ราว 5 วันหลังการผ่าตัด คุณหมอก็นัดให้กลับมาฟังผลก้อนเนื้อ ด้วยความที่เราเป็นคนที่ตรวจสุขภาพประจำปีทุกๆ ปี และไม่มีอะไรผิดปกติใดๆ มาก่อน และร่างกายก็แข็งแรง ไม่เคยเจ็บป่วยถึงขั้นต้องแอดมิตในโรงพยาบาลเลย เท่าที่จำได้เราเข้าโรงพยาบาลครั้งสุดท้ายก็น่าจะเกินกว่า 10 ปีมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นเป็นไข้เลือดออก จึงไม่ได้เตรียมใจไปเลย และคิดว่าก้อนเนื้อนั้นเป็นแค่ก้อนเนื้องอกธรรมดา

“พอผลออกมาว่า ก้อนเนื้อนั้นเป็นเนื้อร้าย ไม่ใช่แค่เราที่ตกใจ คุณหมอที่ผ่าตัดเองก็ยังตกใจกับผลที่ออกมา เพราะคุณหมอบอกว่า ลักษณะก้อนที่ผ่าออกมานั้นดูไม่เหมือนจะเป็นก้อนมะเร็ง ตอนนั้นเราเองก็ได้แค่นั่งอึ้ง นิ่ง เงียบ ไม่รู้ว่าต้องรู้สึกอย่างไร ในหัวคิดแค่ว่า เราเป็นมะเร็งเหรอ แล้วยังไงต่อ คุณหมอคงเห็นว่านิ่งไปนานจึงพูดออกมาว่า เราต้องคิดว่าเราหายและอายุยืน แข็งแรงไปอีกนาน ก่อนจะปลอบว่า โรคนี้เป็นแล้ว…หายได้นะ! เราต้องเชื่อก่อนว่ามันจะหาย นั่นเป็นคำพูดที่ช่วยดึงสติที่หลุดลอยไปไกลให้กลับมา และด้วยความที่เราอยู่ในแวดวงงานวิจัยมามากกว่า 10 ปี ทำให้เราไม่มีความคิดเลยว่า มะเร็งจะรักษาไม่ได้ ด้วยการแพทย์ในปัจจุบันนี้พัฒนาไปไกล และคุณหมอในเมืองไทยก็มีความเชี่ยวชาญขึ้นมากกว่าในอดีต เราจึงคิดว่า เราหายแน่…เราต้องหายแน่นอน!”

บททดสอบจากจักรวาล

“หลังรู้ผลก้อนเนื้อว่าเป็นมะเร็งเต้านมชนิด Triple-negative (TNBC) เราก็ทยอยแจ้งข่าวกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน เพื่อให้อาการป่วยของเราไม่กระทบกับใคร แต่ตอนนั้นยังไม่บอกที่บ้าน เพราะยังไม่รู้แน่ชัดว่าแนวทางการรักษาจะไปในทิศทางใด จึงอยากให้ได้แผนการรักษาที่แน่ชัดเสียก่อนจึงค่อยบอกคุณพ่อคุณแม่ ท่านจะได้ไม่เป็นห่วงมาก ระหว่างนั้นก็มีการตรวจเช็กร่างกายหลายอย่างอยู่ราว 1-2 เดือน ก่อนจะตัดสินใจขอย้ายมารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เพราะใกล้ที่พักและที่ทำงาน 

“ระหว่างที่รอเข้าสู่กระบวนการรักษาอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรืออะไรก็ตาม ช่วงนั้นเราได้ยินประโยคหนึ่งจากคลิป Youtube ซึ่งมีใจความว่า จักรวาลไม่เคยส่งบททดสอบที่ยากเกินกว่าที่เราจะรับมือได้มาให้ นั่นเป็นเหมือนประโยคสร้างพลังใจและตอกย้ำความมั่นใจให้เรารู้สึกว่า อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเรานั้น เราจะรับมือและผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามในชีวิต รวมถึงมะเร็งในครั้งนี้ด้วย  

“หลังจากนั้นการรักษามะเร็งก็เริ่มต้นที่การผ่าตัดเต้านมซ้ำอีกครั้ง เนื่องจากในรอบแรกนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นเนื้อร้าย คุณหมอจึงผ่าตัดเหมือนผ่าตัดก้อนเนื้อธรรมดา ซึ่งต่างจากการผ่าตัดก้อนมะเร็งที่จำเป็นต้องคว้านเนื้อบริเวณรอบก้อนออกด้วยเพื่อความปลอดภัย โดยในการผ่าตัดครั้งที่สองนี้ คุณหมอได้ทำการผ่าต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้บางส่วน (Sentinel Lymph Node Biopsy – SLNB) ไปตรวจด้วยว่า มะเร็งกระจายไปหรือยัง โชคดีที่มะเร็งยังไม่กระจาย แต่คุณหมอก็ไม่ได้ระบุว่าเป็นระยะใด เพียงแต่บอกว่าเป็นเพียงระยะต้นๆ ที่เชื้อมะเร็งยังไม่แพร่กระจาย

“หลังพักฟื้นจากการผ่าตัดราว 1 เดือน ก็ถึงเวลาต้องให้คีโม โดยเดิมทีคุณหมอวางแผนไว้ว่าจะให้คีโมสูตรน้ำแดง 4 เข็ม และสูตรน้ำขาว 4 เข็ม โดยเว้นระยะทุก 3 สัปดาห์ แต่หลังจากให้สูตรน้ำแดง 4 เข็มแล้ว คุณหมอก็เปลี่ยนแผนมาให้สูตรน้ำขาว 12 เข็ม โดยปรับโดสยาน้อยลงและให้ทุกสัปดาห์ เพราะมีงานวิจัยพบว่าการให้คีโมทีละน้อยแต่ถี่นั้นจะได้ประสิทธิภาพดีกว่า”  

ดอกผลของการต่อต้าน

“ระหว่างการรักษาตัวเรายังคงทำงานตามปกติ จะมีลาบ้างบางช่วง เช่น หลังการผ่าตัดหรือหลังให้คีโมประมาณ 1-2 วัน เนื่องจากมีอาการข้างเคียงจากคีโม โดยเฉพาะสูตรน้ำแดง ไม่ว่าจะเป็นอ่อนเพลีย อาเจียน นอนไม่หลับ ปากเปื่อย เจ็บปากทำให้กินเผ็ดกินร้อนแทบไม่ได้ กินอะไรก็ไม่อร่อย นอกจากนี้สิวยังเห่อขึ้นที่ใบหน้าและแผ่นหลัง รวมถึงท้องผูก ฯลฯ คุณหมอจะให้ยาแก้อาเจียนมา ซึ่งเราจะอาเจียน  1-2 ครั้ง ในช่วงคีโมเข็มแรกๆ แต่อาการนอนไม่หลับ ไม่มียาให้ แต่เราก็ลองกินวิตามินที่ช่วยเรื่องการนอน แต่ก็ยังเอาไม่อยู่ นอนไม่หลับเหมือนเดิม เราก็จะใช้ความอดทนเพื่อผ่านไปให้ได้ในทุกช่วงการรักษา และพยายามกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ด้วยระหว่างรักษาตัวนั้นเรามีอาการเจ็บปากทำให้กินอะไรไม่ค่อยได้ จึงเสริมด้วยการกินโปรตีนและผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหาร (Meal Replacement) เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพียงพอ ไม่ขาดสารอาหาร และมีแรงสู้กับความเจ็บป่วย รวมถึงผลข้างเคียงจากคีโม สามารถเข้ารับการรักษาด้วยคีโมได้ตรงตามกำหนด 

“ทุกๆ อาการนั้นเราสามารถรับมือได้หมด ไม่มีอาการใดเลยที่ทำให้เราทุกข์หรือทรมานจนทนไม่ไหว เพราะเราคิดเสมอว่า เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป จะมีอาการเดียวที่ทำให้จิตตกที่สุด ก็น่าจะเป็น ‘ผมร่วง’ อาจจะเป็นเพราะหลังจากให้คีโมเข็มแรกผมยังไม่ร่วง จนพยาบาลยังทักว่า ‘เอ้า! ผมยังไม่ร่วงเหรอคะ’ และช่วงนั้นเรากำลังอ่านหนังสือ YOU ARE THE PLACEBO : Making Your Mind Matter ทำให้เรามีความคิดว่า ถ้าเราเชื่อว่าผมไม่ร่วง มันก็จะไม่ร่วง จึงพยายามจะใช้ความเชื่อนำ ปรากฏว่าหลังจากให้คีโมเข็มที่ 2 ไปไม่นาน เส้นผมก็เริ่มร่วงเกลื่อนพื้นห้องและติดอยู่บนหมอนทุกวัน หรือแค่โดนน้ำก็หล่นเป็นกระจุก หรือเวลาส่องกระจกเราก็จะเห็นผมที่ค่อยๆ แหว่งหายไป พอไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิดก็ทำให้เริ่มนอยด์ จิตตก รับตัวเองไม่ได้  จึงไปปรึกษาน้องที่สนิทกัน เขาก็พยายามทำความเข้าใจกับความรู้สึกที่เรากำลังเผชิญอยู่ และคิดตรึกตรองว่า หากเป็นเขา เขาจะทำอย่างไร ก่อนจะถามเรากลับมาสั้นๆ ว่า ‘ผมร่วงแล้ว มันขึ้นใหม่ได้ไหมพี่’ คำถามนี้เหมือนดึงสติเรากลับมา ‘เอ้อ…ผมร่วงแล้ว ก็ขึ้นใหม่ได้นี่นา’ หลังจากนั้นเราก็ตัดสินใจโกนผมทิ้ง และนั่นก็เป็นเหมือนอีกบทเรียนหนึ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้ผลของการต่อต้านและการไม่ยอมรับความจริงอย่างลึกซึ้ง” 

ภารกิจพิชิตมะเร็ง

ระหว่างการรักษาด้วยคีโม คุณหมอก็แนะนำให้ตรวจคัดกรองยีน BRCA เพื่อดูปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ เนื่องจากเราเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิด Triple-negative (TNBC) ในวัย 40 ปี ซึ่งทางการแพทย์ผู้ป่วยเป็นมะเร็งที่อายุต่ำกว่า 45 ปี จะถือว่ากลุ่มผู้ป่วยมะเร็งอายุน้อยและควรตรวจการกลายพันธุ์ของยีน และผลปรากฏว่า เรามียีน BRCA1 ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในกลุ่มมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่  นั่นเองทำให้คุณหมอต้องปรับแผนการรักษาจากที่จะต้องฉายแสงหลังจากจบคีโม มาเป็นการผ่าตัดเต้านมออกทั้งสองข้างและเสริมสร้างเต้านมด้วยซิลิโคน พร้อมทั้งผ่าตัดรังไข่ออก เพื่อตัดต้นตอและลดโอกาสที่จะทำให้เรากลับมาเป็นผู้ป่วยมะเร็งซ้ำอีกครั้ง

“หนึ่งปีในการรักษาตัวจากโรคมะเร็ง ถ้าถามว่า อะไรเจ็บที่สุด? ก็คงเป็นการผ่าตัดยกเต้าและเสริมสร้างหน้าอกใหม่โดยใช้ซิลิโคนนี่แหละ แต่ถ้าถามว่า อะไรยากที่สุด? คงเป็นเรื่องการตัดสินใจว่าจะตัด ‘รังไข่’ ออกดีไหม เพราะพอตัดรังไข่ไปแล้ว เราจะเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือนทันที ทำให้ร่างกายขาดฮอร์โมนอีสโทรเจน ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือ ภาวะวัยทองก่อนวัย ไม่ว่าจะเป็นอาการร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน รวมถึงความเสื่อมของร่างกายที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยอย่างกระดูกพรุน และเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ พูดง่ายๆ ว่า กลัวแก่ไว (หัวเราะ) ส่วนเรื่อง จะมีลูกได้ไหม ไม่คิดแล้ว เพราะโสดมาจนป่านนี้แล้ว คุณหมอก็แนะนำให้ฝากไข่เหมือนกัน แต่ด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงและอายุ 40 ปีแล้ว หากจะเก็บไข่ก็คงไม่ได้สมบูรณ์เท่าไร ก็ตัดสินใจผ่าตัดออกเลยดีกว่า หลังจากผ่าตัดรังไข่และจบการรักษาประมาณ 5 เดือน คุณหมอให้เราตรวจมวลกระดูกเพิ่มเติม ผลปรากฏว่ากระดูกเริ่มบาง คุณหมอจึงแนะนำให้กินแคลเซียมและวิตามินดีเสริม และนัดฟอลโลอัปกับคุณหมอทุก 3-6 เดือน”

เรียนรู้วิชาชีวิต

“มะเร็งในครั้งนี้ทำให้เราตระหนักถึงเรื่องสุขภาพมากขึ้น เพราะพอเราป่วยมันกระทบทุกอย่างในชีวิต ไม่ใช่แค่ร่างกายและจิตใจเราเท่านั้น แต่ยังกระทบไปถึงการงาน คนรอบข้าง เพื่อนร่วมงาน คนที่เรารัก ครอบครัว ฯลฯ  แม้ภายนอกเราจะเหมือนใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไปไหนเองได้ ทำงานได้ แต่ลึกๆ เราเชื่อว่า การที่เราไม่ป่วยและมีสุขภาพแข็งแรง เราจะมีแรงและพลังชีวิตที่ทำให้สามารถทำทุกอย่างได้เต็มที่มากกว่านี้ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่เราหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น 

“จากเดิมที่ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีและไม่พบอะไรที่ผิดปกติ เราจึงมักละเลยการดูแลร่างกายไปบ้าง เช่น ไม่ออกกำลังกาย นอนดึก นอนน้อย ฯลฯ โชคดีที่ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และเป็นคนที่เลือกรับประทานอาหาร และควบคุมอาหารให้อยู่ในปริมาณที่พอดี แต่มีบ้างที่บางครั้งก็กินอาหารที่ไม่เฮลตี้ เช่น อาหารแปรรูป หมูยอ ไส้กรอกแดง เบคอน ฯลฯ กระทั่งมาพบว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็ง ทุกอย่างที่ไม่ดี เราหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด และเริ่มออกกำลังกายอย่างจริงจัง และปรับเรื่องการนอน จากที่เคยนอนดึกมาก ทุกวันนี้ก็พยายามนอนไม่เกิน 4 ทุ่ม เพราะเราเชื่อว่าการนอนก็มีส่วนสำคัญต่อภูมิคุ้มกันของร่างกาย    

“ทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณมะเร็งที่เข้ามาทำให้เราได้เรียนรู้ว่า สุขภาพสำคัญแค่ไหน ที่สำคัญยังเป็นเหมือนบททดสอบที่ทำให้เราเติบโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และไม่ว่าอะไรจะเข้ามาหลังจากนี้ก็รู้สึกว่าเราจะผ่านมันไปได้ทุกอย่าง ทุกเรื่อง เพราะเราผ่านเรื่องที่ยากที่สุดอย่างมะเร็งมาแล้ว 

“นอกจากนี้เรายังได้เรียนรู้ที่จะ ‘ขอบคุณ’ ง่ายขึ้น จากเมื่อก่อนทุกครั้งที่ฟังพอดแคสต์แล้วมีคนบอกว่าให้เราตื่นเช้ามาแล้วขอบคุณตัวเอง ขอบคุณสิ่งที่เรามีในชีวิต ฯลฯ เราไม่เข้าใจ นึกไม่ออกว่า ต้องขอบคุณอะไรเหรอ? แต่พอป่วยเท่านั้น เราถึงได้รู้และเข้าใจแล้วว่า เราต้องขอบคุณอะไร แค่ได้ตื่นลืมตาขึ้นมาในทุกๆ เช้า นี่ก็คือของขวัญแสนพิเศษของชีวิตที่เราควรขอบคุณ ยิ่งไปกว่านั้น เรายังหันมารักตัวเองมากขึ้น จากเดิมที่เป็นคนแคร์คนอื่นมากเกินไป กังวลตลอดเวลาว่า คนนั้นคนนี้จะคิดยังไงกับเรา และเป็นคนที่ไม่กล้าปฏิเสธ เซย์เยสได้อย่างเดียว เพราะกลัวเขารู้สึกไม่ดีกับเรา แต่พอมะเร็งเข้ามาในชีวิต สิ่งแรกที่เราแคร์คือความรู้สึกตัวเองก่อน กล้าปฏิเสธมากขึ้น ไม่เก็บอะไรมาใส่ใจเยอะ รู้จัก ช่างมัน! มากขึ้น ไม่คิดเล็กคิดน้อย”   

สู่ชีวิตที่ไร้กังวล

เรามีความเชื่อแบบไหน เราก็จะได้แบบนั้น Mindset นี้ เราได้จากการทำธุรกิจแอมเวย์ ซึ่งเพิ่งเริ่มทำก่อนจะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งเพียง 1 ปีครึ่ง และนั่นทำให้ ณ วันแรกที่เรารู้ผลว่าเป็นมะเร็ง เราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหยื่อหรือรู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายเลย เพราะเมื่อไรที่เรารู้สึกว่า ตัวเองเป็นเหยื่อ หรือ รับบทเหยื่อ นั่นหมายถึงเรารู้สึกว่ากำลังถูกกระทำอยู่ และเราก็จะควบคุมมันไม่ได้ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราไม่รับบทเหยื่อ เราจะอยู่เหนือเหตุการณ์นั้นและสามารถควบคุมมันได้ทันที ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่มะเร็ง แต่เราใช้ Mindset นี้ผ่านทุกเรื่องในชีวิตไปได้เลย ฉะนั้น เมื่อรู้ตัวว่าเราเป็นผู้ป่วยมะเร็ง อย่ามัวเสียเวลาโทษโชคชะตา หรือตั้งคำถามว่า ทำไมต้องเป็นเรา? อยู่เลย แต่ให้กำลังใจตัวเองและเชื่อมั่นว่า โรคมะเร็งเป็นโรคที่รักษาหายได้ และถ้าเมื่อไรเราเชื่อว่า เราจะหาย เราก็จะหาย 

“ปีนี้นับเป็นปีที่ 4 แล้วบนเส้นทางของธุรกิจแอมเวย์ งานหล่อเลี้ยงความฝันที่ทำไปพร้อมๆ กับงานวิจัยซึ่งเป็นเสมือนงานที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ และเป็นงานที่เราภาคภูมิใจ เพื่อวันหนึ่งเราจะไปถึงเป้าหมายของชีวิต คือ การมีชีวิตไร้กังวล มีอิสรเสรีในการใช้ชีวิต ทั้งทางความคิด ความรู้สึก ความเป็นอยู่ การเงิน เวลา ฯลฯ และที่สำคัญ คือ การมีอิสระทางสุขภาพกายและใจ เพราะมันไม่สำคัญแล้วว่าเราจะมีอายุยืนยาวแค่ไหน ขอแค่ในวันที่ยังมีลมหายใจ เรามีร่างกายที่แข็งแรง เดินสะดวก กินอร่อย และช่วยเหลือตัวเองได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว เราไม่อยากเป็นคนแก่ที่ต้องนอนติดเตียงหรือเป็นภาระใคร” 

แชร์ไปยัง
Scroll to Top