
วิธีที่ดีที่สุดคืออย่ารอให้เกิดแผลเป็น การผ่าตัดเต้านมในปัจจุบันนี้มักจะไม่มีการเย็บแบบตะเข็บตะขาบตัวโตๆ อีกแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นการเย็บด้วยไหมละลายแบบเรียบ หรือหากมีแผลบนผิวหนัง แพทย์มักจะนัดตัดไหมเร็วขึ้น เพราะหากทิ้งไว้นานอาจจะเกิดรอยแผลเป็นที่เรียกว่า Stitch mark หรือรอยตะขาบซึ่งเกิดจากรอยรัดของไหมนั่นเอง หรือแผลจากผิวหนังที่เนื้อตายขาดเลือดก็อาจหายอย่างผิดปกติได้
ทุก ‘แผลเป็น’ นั้นจะเกิดจากการบาดเจ็บทางผิวหนัง เช่น เกิดจากการฉีกขาดของผิวหนังจากอุบัติเหตุ หรือเกิดจากการที่เราตั้งใจผ่าตัด หรือหลายครั้งก็เกิดจากภาวะทางสรีระ เช่น การคลอดบุตร การตั้งครรภ์ ฯลฯ ซึ่งจะนำไปสู่การซ่อมแซมเซลล์ที่ได้รับบาดเจ็บหรือซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ
หากเราพูดถึงแผลเป็นในปัจจุบัน การดูแลแผลเป็นโดย ‘การป้องกัน’ สำคัญกว่า ‘การรักษา’ หรือพูดง่ายๆ ว่า อย่ารอให้เกิดแผลเป็นดีที่สุด ฉะนั้น เมื่อร่างกายมีแผล อย่ารอให้เกิดแผลเป็นที่ผิดปกติ สิ่งที่เราต้องทำก็คือการป้องกันไม่ให้เกิดรอยแผลเป็น ซึ่งมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ปัจจัยใดบ้างที่จะทำให้เราเกิดแผลเป็นที่ผิดปกติหรือแผลเป็นที่ไม่ดี เช่น
- การสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดเล็กๆ ในร่างกายของคนไข้ไม่ดี ก็มีโอกาสทำให้เกิดแผลเป็นที่ไม่ดีได้
- คนไข้มีโรคเบาหวานหรือควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดี โอกาสที่จะเกิดแผลเป็นที่ไม่ดีก็จะสูง
- คนไข้ทำกิจกรรม หรือออกแรง หรือขยับในบริเวณที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะแผลที่อยู่ในบริเวณข้อพับ ไหล่ ข้อมือ ซึ่งมีการขยับอยู่ตลอดเวลา หากเราขยับเร็วเกินไป หรือแรงเกินไป ก็อาจจะทำให้เกิดแผลเป็นไม่ดีได้ ฉะนั้น เราต้องระวังและป้องกันอย่างดี
- การพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลร่างกายให้สมบูรณ์ ก็อาจช่วยลดโอกาสในการเกิดแผลเป็นที่ไม่ดีได้
- ร่างกายต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เพราะหากเปรียบการผ่าตัดใหญ่เสมือนการเดินทางไกล หากก่อนเดินทางเราทำงานหนัก พักผ่อนน้อย รับประทานอาหารน้อย หรือรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ แน่นอนว่า โอกาสที่เซลล์ในร่างกายไม่แข็งแรงก็ย่อมมีสูง แผลเป็นที่ไม่ดีก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูงเช่นกัน ในทางตรงข้าม หากร่างกายเราแข็งแรง ได้รับโภชนาการที่ดีและเพียงพอ แผลต่างๆ ก็ย่อมหายได้เร็วขึ้น
เป็นต้น
ข้างต้นเป็นการเตรียมตัวของคนไข้ก่อนการผ่าตัด เพื่อลดโอกาสการเกิดแผลเป็นที่ไม่ดี ต่อมาก็เป็นส่วนของแพทย์ ซึ่งในปัจจุบันแพทย์จะใช้วิธีการเย็บแบบ Tension Free Suture คือ การเย็บไม่ให้มีความตึง หรือการเย็บเป็นชั้น ตั้งแต่ชั้นลึก ชั้นกลาง และชั้นตื้น โดยที่ในชั้นตื้นหรือชั้นบนผิวหนัง แพทย์จะเลือกใช้ ‘ไหม’ ในการเย็บแผลที่เล็กที่สุด เช่น ไหมเล็ก ชนิดที่เรียกว่า Monofilament หรือไหมเส้นเรียบเล็ก หรือการใช้ไหมละลายซ่อนปมใต้หนังกำพร้า ทำให้ไม่เห็นปมไหมบนผิวหนัง ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า Suncuticular running suture การเย็บแบบนี้ก็จะทำให้เกิดแผลเป็นได้น้อย
ปัจจัยสำคัญอีกอย่างที่อาจจะทำให้เกิดแผลเป็นที่ไม่ดี แผลไม่สวย ก็คือ การติดเชื้อ เนื้อตาย เมื่อแผลหายย่อมเกิดเป็น ‘แผลเป็น’ ที่ไม่ดีแน่นอน หลายครั้งแพทย์อาจจะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และหลังผ่าตัดอาจมีข้อที่คนไข้ควรต้องทำดังนี้
1. ยาทาป้องกันการเกิดแผลเป็น ซึ่งปัจจุบันนี้จะใช้ยาในกลุ่มซิลิโคนเจล (Silicone gel) สำหรับใช้ทาป้องกันแผลเป็น เพราะตามธรรมชาติเมื่อร่างกายรู้ว่า ผิวหนังมีการบาดเจ็บ ส่งเซลล์มายังบริเวณบาดแผลเยอะ ทำให้เกิดการอักเสบ การแห้ง ฉะนั้น การทาซิลิโคนเจลจะช่วยลด Transepidermal water loss (TEWL) การระเหยของน้ำหรือความชื้นทางปากแผล พอไม่มีการสูญเสียความชื้นทางปากแผล ร่างกายก็จะรับรู้คล้ายว่า ไม่มีแผลหรือไม่ได้รับการบาดเจ็บรุนแรง ก็ช่วยให้แผลเกิดการอักเสบน้อย และหลายการศึกษายังพบว่า นอกจากซิลิโคนเจลจะช่วยลดการนูนของแผลแล้ว ยังลดอาการแดงและคัน นั่นทำให้คนไข้รู้สึกเจ็บแผลน้อยลงด้วย แต่ก็ขึ้นอยู่กับระยะของการทายาด้วย ซึ่งเราต้องทายาจนแน่ใจว่า อยู่ในช่วงที่แผลหายโดยสมบูรณ์ หรืออย่างน้อย 3-6 เดือน ในกรณีที่ทายาไม่ได้ เช่น อาจจะเสียดสีกับเสื้อผ้า ทำให้ยาหลุดออกง่าย อาจจะหันไปใช้ Silicone gel sheet หรือแผ่นแปะซิลิโคนเจล ซึ่งเราต้องแปะให้ครอบคลุมแผลโดยรอบอย่างน้อย 1 เซนติเมตร เช่น ถ้าแผลกว้าง 1 เซนติเมตร ก็ต้องตัดแผ่นแปะอย่างน้อย 2-3 เซนติเมตร และแปะอย่างน้อย 16-20 ชั่วโมงต่อวัน นาน 3-6 เดือนเช่นกัน
2. การทำเลเซอร์เพื่อรักษาแผลเป็น (Laser for scars treatment) ปัจจุบันเราสามารถรักษาแผลเป็นด้วยเลเซอร์ ทั้งช่วยลดอาการนูนและแดง รวมถึงผิวขรุขระของแผลเป็นได้ดีมาก เพราะเลเซอร์สามารถช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวกลับมาเรียบได้เร็วขึ้น โดยเราสามารถเลเซอร์ได้ตั้งแต่ช่วงแรกที่เปิดแผล ไม่ต้องรอให้แผลนูนหรือแผลแดง หลายแผลเป็นสามารถป้องกันหรือรักษาด้วยการทายาซิลิโคนเจลอย่างเดียว แต่หลายๆ แผลก็หายจากการทายาร่วมกับเลเซอร์รักษาแผลเป็นด้วย