กุลจิรา บัตรจัตุรัส : เป็นแม่ แพ้ได้ไง

“มีบางวันที่เราก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่า
นี่เราป่วยเป็นมะเร็งระยะ 4 จริงหรือเปล่า
คุณหมอตรวจผิดพลาดไปหรือเปล่า 
เพราะเราใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป
ทำงานได้ ไปไหนมาไหนเองได้
กินอะไรก็แซ่บไปหมด” 

บทสนทนาว่าด้วยชีวิตหลังเผชิญมะเร็งระยะ 4 ที่กลั้วเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของ น้ำอ้อย-กุลจิรา บัตรจัตุรัส พยาบาลวิชาชีพชํานาญการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลกุดพิมาน อําเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะ 4 วัย 40 กะรัต ที่ยังอยู่ระหว่างรักษาตัวรอบที่ 2 แต่เธอก็ยังคงทำหน้าที่ดูแลคนไข้ และพ่วงท้ายบทบาทคุณแม่สุดแกร่งของลูกชายวัย 15 ปี และ 9 ปี โดยมีสามีคอยให้กำลังใจและเคียงข้าง…ไม่ห่าง

“มะเร็งเข้ามาทำให้เรารู้ว่า ชีวิตนี้โชคดีมากกกกก… เราไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวเลย เราได้พบว่ามีคนรักเรามากมาย นอกเหนือจากครอบครัว พ่อแม่ สามีที่ดี และลูกๆ ที่น่ารักแล้ว ชีวิตเรายังห้อมล้อมไปด้วยกัลยาณมิตร ทั้งเพื่อนเก่า เพื่อนใหม่ เพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา หรือแม้แต่คนไข้ที่เราเคยดูแล พอทุกคนรู้ว่าเราป่วย ต่างยินดียื่นมือมาซัปพอร์ตเราในทุกๆ เรื่อง บ้างช่วยเหลือเรื่องงาน บ้างก็ฝากกำลังใจมาให้ บ้างก็ฝากของมาเยี่ยม หรือแม้แต่โอนเงินมาให้เพื่อให้ใช้จ่ายดูแลตัวเองระหว่างการรักษา โดยที่เราไม่ได้ร้องขอ 

“ลูกชายทั้งสองคนที่เราเองไม่เคยคาดหวังอะไร ก็ยังพยายามทำให้เรารู้ว่า พวกเขารักเรามากแค่ไหน ลูกชายคนโตซึ่งกำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนประจำ หลังจากที่เราเป็นมะเร็งก็จะวิดีโอคอลมาคุยและให้กำลังใจเราทุกเย็น หรือลูกชายคนเล็กที่จู่ๆ ก็ขอเข้าห้องน้ำไปช่วยถูหลัง ถูขา อาบน้ำให้แม่ ระหว่างที่ร่างกายเรายังไม่แข็งแรงดี สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราไม่เคยร้องขอ แต่พวกเขาทำให้เราด้วยความเต็มใจ และเชื่อว่าในวันที่เราไม่อยู่ ลูกๆ ทั้งสองจะต้องภูมิใจกับสิ่งที่เขาพยายามทำเพื่อแม่มากๆ เพราะวันนี้แม่ภูมิใจในตัวพวกเขาเหลือเกิน

“ท่ามกลางความโชคร้าย เราได้เห็นความโชคดีมากมาย ได้เห็นความรักที่อยู่รอบตัว ซึ่งหากวันนี้เราไม่เจอโรคร้าย เราก็คงใช้ชีวิตไปโดยไม่รู้เลยว่า จริงๆ แล้วชีวิตเราโชคดีแค่ไหน มีคนรักมากมายขนาดไหน และหากวันนี้เราไม่มีพวกเขา ก็ไม่แน่ใจว่าเราจะมีแรงสู้มะเร็งทั้งสองครั้งมาจนถึงทุกวันนี้ได้หรือเปล่า ขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่พร้อมโอบกอดและโอบอุ้มเราให้ผ่านวันเลวร้ายนี้มาได้”

พยาบาลอาสา

“ย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 2564 ตอนนั้นเมืองไทยอยู่ในช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาดหนัก มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทุกวัน ส่งผลให้จำนวนเตียงในโรงพยาบาลไม่สามารถรองรับผู้ป่วยได้ทั้งหมด และยังมีผู้ติดเชื้อที่รอเตียงอีกเป็นจำนวนมาก นั่นทำให้ทางกระทรวงสาธารณสุขได้จัดตั้ง ‘โรงพยาบาลบุษราคัม’ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสนามขึ้นที่เมืองทองธานี และเปิดรับพยาบาลอาสาเพื่อไปทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่นั่น ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้น 

“ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นั่น กิจวัตรอย่างหนึ่งที่ต้องทำอย่างใส่ใจในทุกๆ วันก็คือการคลีนนิ่งร่างกายให้สะอาดหลังดูแลผู้ป่วย เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ กระทั่งวันหนึ่ง จู่ๆ มือก็ไปสะดุดกับก้อนที่ใต้หัวนมข้างขวา ซึ่งเดิมทีเป็นก้อนที่พบมาตั้งแต่ปี 2563 แต่ไม่มีอาการใดๆ และไม่มีขนาดโตขึ้น จึงได้แต่เฝ้าระวังมาตลอด จนกระทั่งเพื่อนสนิทคนหนึ่งเสียชีวิตด้วยมะเร็งเต้านม ทำให้เราเริ่มกังวลจึงตัดสินใจไปตรวจอัลตราซาวนด์ โดยตอนนั้นคุณหมอแจ้งว่าเป็นแค่ถุงน้ำธรรมดา และด้วยความที่อายุเพิ่ง 30 ปี ยังไม่เข้าเกณฑ์ที่ต้องทำแมมโมแกรม คุณหมอจึงแค่ให้สังเกตและเฝ้าระวังตัวเองต่อ เช่น หากมีอาการผิดปกติ หรือก้อนมีขนาดโตขึ้นก็ให้รีบมาหาหมออีกครั้ง ฯลฯ เราก็พยายามจะตรวจคลำหน้าอกเป็นประจำทุกวัน แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ

“จนเวลาผ่านไปเกือบปี ก็มาพบว่าก้อนดังกล่าวมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ที่สำคัญพื้นผิวของก้อนมีลักษณะไม่เรียบ แต่ไม่มีอาการเจ็บ ไม่มีอาการเต้าดึงรั้ง ไม่มีน้ําเหลืองออกจากหัวนม เราจึงคิดเข้าข้างตัวเองว่า คงเป็นถุงน้ําเหมือนที่คุณหมอเคยบอกก็ได้  เพราะช่วงนั้นอยู่ระหว่างเป็นประจําเดือนพอดี แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามตรวจคลำด้วยตัวเอง ทั้งบีบหัวนมดู สังเกตลักษณะกายภาพของหัวนมว่าเท่ากันไหม ก็เท่ากัน ไม่มีอาการเป็นแผลที่เต้านม ไม่มีการดึงรั้งของเต้านม ฯลฯ ทุกอย่างปกติ

“หลังจากปฏิบัติหน้าที่พยาบาลอาสาจนครบวาระ 2 สัปดาห์ เราก็ตั้งใจแล้วว่า เดี๋ยวกลับบ้านจะไปตรวจเต้านมที่ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ทันที แต่ด้วยเวลานั้นการเดินทางข้ามจังหวัดจะต้องกักตัวก่อน 14 วัน และตรวจ Swab Test อีก 2 รอบ เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีเชื้อโควิด-19 ติดกลับมาแน่ๆ จึงจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทำให้กว่าจะเข้ารับการตรวจเต้านม เวลาก็ผ่านไปเกือบ 1 เดือน แม้จะไม่มีอาการใดๆ แต่ก้อนที่เราคะเนไว้ประมาณ 2 เซนติเมตร ตอนนั้นขยายขนาดมาราว 3 เซนติเมตรแล้ว”

เผชิญหน้ากับมะเร็ง

“โชคดีมากที่วันไปตรวจได้พบกับอาจารย์หมอเฉพาะทางด้านศัลยกรรม ท่านจึงนัดหมาย ‘เจาะชิ้นเนื้อ’ (Biopsy) ในอีก 2 สัปดาห์ถัดมา แต่ด้วยช่วงนั้นอยู่ระหว่างการประเมินสถานีอนามัย ความห่วงงาน อยากเคลียร์งานให้จบก่อน จึงขอเลื่อนนัดคุณหมอออกไปอีก 1 สัปดาห์ กระทั่งถึงวันนัดเจาะชิ้นเนื้อ ระหว่างที่คุณหมอทำการเจาะชิ้นเนื้อโดยเครื่องอัลตราซาวนด์ (Ultrasound guided core needle biopsy) จู่ๆ ท่านก็ถามขึ้นว่า คนไข้มีพันธุกรรมมะเร็งไหม พอได้ยินเช่นนั้นใจแป้วเลย คิดว่า คงใช่แล้วละ!  หลังจากนั้นคุณหมอก็นัดให้ไปฟังผลกับอาจารย์หมอศัลยกรรมในอีก 2 สัปดาห์ถัดมา

“แม้ในใจลึกๆ จะคิดเข้าข้างตัวเองตลอดว่า ไม่ใช่หรอก อาจจะเป็นก้อนที่ผิดปกติ แต่ไม่ใช่มะเร็งหรอก แต่ก็มีบางแวบเหมือนกันว่า ถ้าใช่ล่ะ!  นั่นทำให้ตลอด 2 สัปดาห์ที่รอผลชิ้นเนื้อนั้น เราเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งใน Google โดยสันนิษฐานจากความรู้ตัวเองว่า หากใช่…ก็น่าจะอยู่ในระยะ 2 ซึ่งโอกาสหายอยู่ที่ 85 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นก็ค่อยๆ เสิร์ชข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการรักษา  

“จนกระทั่งวันนัดฟังผลมาถึง วันนั้นสามีไปฟังผลเป็นเพื่อน แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ยังหนักอยู่ ทางโรงพยาบาลจึงอนุญาตให้คนไข้เข้าฟังผลได้แค่คนเดียว โดยประโยคแรกที่อาจารย์หมอพูดขึ้นก็คือ ‘ผลชิ้นเนื้อออกแล้วนะ สรุปว่าเป็นมะเร็ง น่าจะอยู่ในระยะ 2 แต่ต้องรอผ่าตัดก่อน เพราะยังต้องดูว่ามีการกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองกี่ต่อม’ ตอนนั้นเราตัวชา หูดับไปแล้ว ก่อนจะได้ยินเสียงคุณหมออีกครั้ง เมื่อท่านขอคิวนัดผ่าตัดโดยเร็วที่สุดในอีก 2 สัปดาห์ถัดมา

“หลังจากเดินออกจากห้องตรวจ สามีซึ่งรออยู่หน้าห้องก็เข้ามาถามว่า ‘เป็นยังไงบ้าง’ เราตอบไปตามที่ได้ฟังจากคุณหมอ แต่พอสิ้นเสียงเราปุ๊บ สามีก็ร้องไห้พร้อมพูดซ้ำๆ ว่า ‘ไม่เป็นไรนะๆ’ พอเราเห็นอย่างนั้นก็ต้องฮึบไว้ ก่อนจะมากอดสามีร้องไห้ในรถหลังจากนั้น”  

ซึมเศร้าอย่างเข้าใจ

“หลังรู้ผลเพียงไม่กี่วัน เราก็เริ่มรู้สึกว่า โลกใบนี้ไม่น่าอยู่เลย เฝ้าแต่โทษตัวเอง เช่น อุ๊ย! เป็นพยาบาลแท้ๆ ทําไมปล่อยตัวเองเป็นมะเร็งล่ะ, ทำไมห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองล่ะ ฯลฯ และเกิดคำถามในหัวตลอดเวลาว่า ทําไมต้องเป็นฉัน, ทําไมฉันต้องเป็นมะเร็ง, ทําไมไม่เป็นคนอื่น ฯลฯ ใจที่ควรนิ่งก็เริ่มไม่อยู่นิ่ง ความกังวลเริ่มขยายขนาดใหญ่ขึ้นทุกที 

“แต่ละวันเราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งและเก็บมาคิดว่า เดี๋ยวตัวเองจะเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวให้คีโมก็จะเป็นอย่างนี้ ฯลฯ จนกลายเป็นความเครียด เริ่มนอนไม่หลับเลย หนักเข้าถึงขั้นนั่งร้องไห้ทั้งคืน คิดถึงแต่เรื่องความตาย ในสมองไม่มีความคิดที่เป็น positive เลย มีแต่ negative ตลอดเวลา จนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว จึงลองปรินต์ ‘แบบประเมินภาวะซึมเศร้า’ เพื่อลองนั่งทำ ปรากฏว่าเราอยู่ในกลุ่มที่อาจจะมีภาวะซึมเศร้าระดับรุนแรง เพราะถึงขั้นที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่และเคยวางแผนทำร้ายตัวเอง ด้วยความคิดที่ไม่อยากเป็นภาระใคร และอยากเก็บเงินไว้ให้ลูกชายทั้งสองมากกว่าจะรักษาตัวต่อ จึงคิดฟุ้งซ่านไปสารพัด

“ระหว่างกำลังรอผ่าตัด 2 สัปดาห์ จึงตัดสินใจปรึกษาจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลทันที หลังจากคุณหมอตรวจและลองให้ทำแบบประเมินอีกครั้ง ผลก็ออกมาไม่ต่างกัน ทำให้ต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาภาวะซึมเศร้าทันที เริ่มจากการพูดคุยกับจิตแพทย์ ทำจิตบำบัด กระทั่งกินยา จากนั้นก็นัดฟอลโลอัป อาการก็ดีขึ้นตามลำดับ เราหันกลับมารักตัวเองและอยู่กับปัจจุบันมากขึ้นผ่านการทำกิจกรรมที่ตัวเองชอบ เพื่อดึงตัวเองไม่ให้คิดฟุ้งซ่านไปถึงอนาคตหรือไม่เอาแต่โทษตัวเอง   

“พอรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเครียด เริ่มกังวลจนมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ต่อมเอ๊ะ!  ก็จะเริ่มทำงาน เราสังเกตเห็นสัญญาณเตือนต่างๆ ที่บ่งชี้ว่าตัวเองเป็นซึมเศร้า จึงพยายามหาวิธีเพื่อดึงตัวเองออกจากภาวะนั้นให้เร็วที่สุด แต่เชื่อว่ามีผู้ป่วยมะเร็งไม่น้อยที่ไม่รู้ตัวว่ามีภาวะซึมเศร้า บ้างดิ่งจนทำร้ายตัวเอง บ้างก็เดินหลงทางไปกินยาหม้อ จากก้อนเล็กๆ กลับมาหาคุณหมออีกทีก็เข้าสู่ระยะ 4 แล้วก็มี

“เราจึงอยากให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งหรือโรคอื่นใดก็ตาม ควรหมั่นสังเกตตัวเอง เมื่อรู้สึกทุกข์ใจหรือหาทางออกไม่ได้ การเดินไปหาจิตแพทย์เพื่อรับการบำบัดไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หรืออย่างน้อยก็ลองเข้าไปที่ลิงก์ https://share.google/mDroFnvnKWnuB2xZ6* เพื่อดาวน์โหลดแบบประเมินมาลองตรวจสอบตัวเองดูก่อน ก็เป็นการเฝ้าระวังตัวได้ทางหนึ่ง”

หมายเหตุ : *แบบทดสอบภาวะซึมเศร้า PHQ-9
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล 

เข้าสู่กระบวนการรักษา

“กระทั่งถึงวันนัดผ่าตัด ด้วยความที่ก้อนอยู่ใต้หัวนมพอดี จึงไม่สามารถผ่าตัดแบบสงวนเต้าได้ จำเป็นต้องผ่าตัดเต้านมข้างขวาออกทั้งหมด เราก็ตอบตกลงแต่โดยดีและไม่มีความกังวลใดๆ เลย เนื่องจากการมีลูกชายสองคน ถือว่าชีวิตคอมพลีสแล้ว  

“หลังผ่าตัดเรานอนแอดมิตที่โรงพยาบาลต่ออีก 7 วัน ระหว่างนั้นก็มีนักกายภาพและนักโภชนาการมาดูแลและช่วยแนะนำว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร จากนั้นคุณหมอก็มาแจ้งผลการตรวจก้อนมะเร็งและต่อมน้ำเหลือง โดยสรุปได้ว่า เราเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิดมีตัวรับฮอร์โมน ไม่มี HER2 ระยะ 2B เพราะลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง 3 ต่อม แต่โชคดีที่ผลตรวจสแกนกระดูก (Bone Scan) และซีทีสแกน (CT Scan) ที่ช่องปอดก็ปกติดีทุกอย่าง จึงส่งผลให้แผนการรักษาหลังการผ่าตัด คือ การให้คีโม 8 ครั้ง และฉายแสงทั้งหมด 16 แสง  

“แม้จะมีความรู้เกี่ยวกับการรักษามะเร็งอยู่บ้าง แต่ก็ยอมรับว่าสู้ประสบการณ์ตรงจากอดีตผู้ป่วยไม่ได้หรอก ทำให้ช่วงแรกของการรักษาเราต้องพึ่งพาความรู้จากผู้ป่วยมะเร็งรุ่นพี่ๆ ที่มาแชร์ประสบการณ์ในกลุ่มต่างๆ บนโซเชียล ซึ่งสามารถช่วยผู้ป่วยมะเร็งมือใหม่อย่างเราได้มากทีเดียว เพราะพอเรารู้ล่วงหน้าว่าเราต้องเผชิญอะไร ก็สามารถเตรียมตัวรับมือกับอาการต่างๆ ไว้ล่วงหน้า รวมถึงบำรุงร่างกายเป็นอย่างดีให้ค่าเลือดผ่านฉลุย โดยไม่ต้องเลื่อนการรักษาเลยสักครั้ง ทั้งหมดนี้คงต้องยกความดีให้กับอดีตผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นเสมือน ‘ไลฟ์โค้ช’ ถ้าไม่มีพวกเขาเหล่านี้ เราก็อาจจะไม่รู้ว่าต้องปฏิบบัติตัวอย่างไร หรืออาจจะท้อก่อนจบการรักษาก็เป็นได้ 

“หลังจบคอร์สคีโม 8 เข็ม สูตรน้ำแดง 4 เข็ม และสูตรน้ำขาว 4 เข็ม ก็เข้าสู่การฉายแสง 16 แสง ซึ่งใช้เวลาทั้งหมดเกือบ 5 เดือน จากนั้นคุณหมอจะนัดฟอลโลอัปทุก 3 เดือน โดยคุณหมอกำชับให้หมั่นตรวจคลำเต้านม ไหปลาร้า และสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ ด้วยตัวเองอีกทางหนึ่งด้วย รวมถึงให้กิน ทาม็อกซิเฟน (Tamoxifen) ต่อเนื่องไปอีก 10 ปี ระหว่างนั้นเราก็ใช้ชีวิตตามปกติ ก่อนจะตรวจพบมะเร็งกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้ง เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567” 

ร้องไห้อีกครั้ง

“ราวเดือนมกราคม 2567 เราเริ่มมีอาการปวดไหล่ ปวดก้นกบ และเจ็บสะบักหลัง แต่ด้วยนิสัยที่ชอบทำสวน ปลูกต้นไม้เป็นประจำ จึงคิดไปเองว่าน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ และพอซื้อยาคลายกล้ามเนื้อมากิน อาการก็หายดี จึงไม่ได้กังวลอะไร แต่โชคดีที่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่คุณหมอนัดฟอลโลอัปพอดี จึงแจ้งคุณหมอถึงอาการดังกล่าว คุณหมอก็ถามมาคำหนึ่งว่า ‘ตอนกลางคืนปวดไหม’ เราก็บอกไปว่า ‘ไม่ปวดค่ะ กินยาพาราก็หาย’ หมอก็บอกว่า ‘งั้นคงไม่น่าจะใช่มะเร็งลุกลามหรอกมั้ง เพราะถ้าผู้ป่วยที่มะเร็งลุกลามไปที่กระดูก เขาจะปวดมากจนนอนไม่ได้’  

“จนกระทั่งวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 ขณะที่กำลังอุ้มหลานวัย 9 เดือน เดินเล่นอยู่ในสวน จู่ๆ ก็มีอาการเหมือนไฟช็อตที่ขา ปวดแปลบขึ้นมา จากนั้นขาก็เริ่มอ่อนแรง ก่อนดวงตาจะพร่า มัว มืดลง มองไม่เห็น ตอนนั้นเรารีบส่งหลานคืนให้น้องสะใภ้ที่เดินมาด้วยกัน และรีบบอกสามีว่า เราปวดขาเหมือนขาจะหัก ช่วยพาไปโรงพยาบาลหน่อย ปวดมาก ไม่ไหวแล้ว 

“วันนั้นเราถูกส่งตัวไปที่ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี หลังจากเอกซเรย์ พบว่ากระดูกบริเวณปีกเชิงกรานขวาร้าว และด้วยความที่เป็นกังวลว่ามะเร็งจะกระจายไปที่กระดูก เราจึงถามคุณหมอที่ดูแลเคสไปว่า จากฟิล์มเอกซเรย์พบรอย metastasis ที่กระดูกไหม คุณหมอก็แจ้งว่า ในฟิล์มนั้นมองไม่เห็นจุดที่เหมือนมะเร็งกระดูกเลย แต่เพื่อความชัดเจนต้องไปทำ Bone scan อีกครั้ง  

“ตอนนั้นเรานอนแอดมิตที่โรงพยาบาล 7 วัน เพราะคุณหมออยากให้นอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง เพื่อรอให้กระดูกปีกเชิงกรานประสานเชื่อมต่อกันตามธรรมชาติ ทำให้เราต้องทำกิจวัตรทุกอย่างอยู่บนเตียงอยู่ 3 วันเต็มๆ ก่อนจะมีนักกายภาพบำบัดมาช่วยสอนการเดิน การก้าว และการลงน้ำหนักที่เท้าใหม่ รวมถึงตรวจซีทีสแกนช่วงล่าง ช่องอกอีกครั้ง โชคยังดีที่ไม่พบมะเร็งลุกลามไปที่ปอดหรือตับ แต่ตรงปีกเชิงกรานนั้นพบจุดดำๆ กอปรกับค่าเลือดมะเร็ง (Tumor Markers) ขึ้นมาที่ 80 ทำให้คุณหมอเริ่มกังวลว่า มะเร็งอาจจะกระจายไปที่กระดูกแล้ว เพราะจู่ๆ กระดูกหักโดยไม่มีสาเหตุ

“เนื่องจากตอนนั้น โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ยังไม่มีเครื่อง Bone Scan คุณหมอจึงแนะนำให้ติดต่อไปที่ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์และมีเครื่อง Bone Scan แต่ด้วยความที่เรากลัวจะรอคิวนาน จึงตัดสินใจเสียค่าใช้จ่ายเอง โดยได้คิวตรวจ Bone Scan วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 และนัดรับผลตรวจในวันถัดมา 

“จำได้เลยว่า วันนั้นทางโรงพยาบาลส่งมอบแฟ้มเอกสารซึ่งเป็นผล Bone Scan มาให้ เพื่อนำมาส่งต่อให้คุณหมอที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีเพื่ออ่านผลอีกครั้ง แต่พอเราเปิดอ่านปุ๊บก็รู้ทันทีว่า มะเร็งกำลังลุกลามไปที่กระดูกจริงๆ ที่สำคัญคือมะเร็งกินจุดสำคัญอย่างกระดูกไขสันหลัง C-spine 4-5-6 และกระดูกใต้ก้นกบ ปีกเชิงกราน ต้นขา สะบัก นั่นเป็นครั้งที่สองที่ทำให้เรากับสามีต้องจอดรถข้างทางและกอดกันร้องไห้อีกครั้ง”

โชคดีที่ยังมีโอกาส 

“22 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นวันที่คุณหมอนัดนอนแอดมิตก่อนจะผ่าตัดมดลูกและรังไข่ในวันรุ่งขึ้น หลังจากคุณหมอเห็นผล Bone scan ท่านก็พูดขึ้นว่า ‘โอเค มะเร็งกระจายอย่างที่หมอคิดไว้’ จากนั้นคุณหมอก็ประชุมกับทีมแพทย์ว่า จะเปลี่ยนแผนการรักษาใหม่ โดยนอกจากจะผ่าตัดมดลูกและรังไข่ทิ้งแล้ว จะเปลี่ยนยาต้านฮอร์โมนใหม่ จากทาม็อกซิเฟนมาเป็นยาต้านฮอร์โมนสำหรับสาววัยทองโดยเฉพาะ เพราะเราจะไม่มีมดลูกและรังไข่แล้ว และหลังจากนั้นจะใช้สิทธิ์เบิกจ่ายตรงเพื่อจะสามารถใช้ยามุ่งเป้า ไรโบซิคลิบ ซักซิเนต (ribociclib succinate) ได้ โดยคุณหมอจะทําเรื่องไปที่กรมบัญชีกลาง เพื่อขอเบิกยามุ่งเป้าแบบเม็ดผ่านผลพยาธิวิทยา (Pathology) 

“ราว 2 สัปดาห์หลังจากผ่าตัดมดลูก รังไข่ คุณหมอก็นัดมาฟังผล มะเร็งก็ยังไม่ได้ลุกลามไปที่มดลูกและรังไข่ จากนั้นคุณหมอก็เริ่มให้กินยามุ่งเป้าไรโบซิคลิบซักซิเนต และติดตามผลทุก 1 เดือน พบว่าค่ามะเร็งก็ลดลงมาเรื่อยๆ แต่คุณหมอก็กำชับไว้ว่า ผู้ป่วยบางรายก็มีการดื้อยาตอน 4 เดือน หรือบางทีกินไปแล้ว 1 ปี ก็ดื้อยาก็มี ขึ้นอยู่กับร่างกายผู้ป่วยแต่ละคน  

“การรักษาดำเนินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ตรวจพบค่ามะเร็ง  CA 125 เพิ่มขึ้น จากปกติไม่เกิน 25 ก้าวกระโดดมาที่ 33 คุณหมอจึงสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดการดื้อยา ซึ่งก็ครบ 1 ปีพอดีที่ได้รับยามุ่งเป้าตัวนี้มา แต่คุณหมอก็ยังได้ติดตามผลอย่างใกล้ชิด เพราะผลซีทีสแกนต่างๆ ยังปกติ กระทั่งวันที่ 5 พฤษภาคม 2568 ก็ถึงวันนัดฟอลโลอัปตามปกติ ปรากฏว่าค่าตับสูงขึ้นผิดปกติ บ่งถึงมีการอักเสบของตับ คุณหมอจึงถามว่า ไปกินอะไรมาหรือเปล่า กินยาสมุนไพรหรือเปล่า เราก็บอกว่า ไม่ได้กินอะไรเลย นั่นเองที่คุณหมอเริ่มแน่ใจว่า มะเร็งน่าจะลุกลามไปที่ตับแล้ว จึงให้ตรวจซีทีสแกนอีกครั้ง

“วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 คุณหมอนัดฟังผล ปรากฏว่า มะเร็งลุกลามไปที่ตับ ปอด และช่องท้อง บ่งชี้ว่า ดื้อยาอย่างเป็นทางการ คุณหมอจึงให้นอนโรงพยาบาลและลองเปลี่ยนคีโมสูตรใหม่ ซึ่งแพลนไว้ว่าจะให้ทั้งหมด 6 เข็ม ทุก 3 สัปดาห์ จากนั้นก็จะตรวจซีทีสแกนติดตามผลอีกครั้ง ผลข้างเคียงของคีโมครั้งนี้ไม่ค่อยจะอ่อนโยนกับเราเท่าไร ทั้งเหนื่อยง่าย ลิ้นชา ไม่รับรส ปวดขา ปวดปลายเท้า บางทีนอนซมเลยก็มี แต่ก็พยายามกินให้ได้มากที่สุด ถามว่ากินอร่อยไหม สัปดาห์แรกๆ หลังให้คีโมก็ไม่อร่อยหรอก แต่ก็พยายามกินให้ร่างกายฟื้นตัว หลังจากนั้นพอร่างกายกลับมาเป็นปกติในสัปดาห์ที่ 2-3 ก็กินแซ่บได้ตามปกติ แต่ก็ยังเน้นไปที่โปรตีนเป็นหลัก ทั้งอาหารปกติ ไข่ขาว ไปจนถึงนมโปรตีน ฯลฯ  

“ปัจจุบันก็ยังอยู่ระหว่างการรักษาและติดตามผลอย่างใกล้ชิด แต่วิถีชีวิตก็ยังเหมือนเดิม เพราะมะเร็งระยะ 4 ไม่ใช่มะเร็งระยะสุดท้าย ทุกอาการมีทางรักษา และคุณหมอก็มีทางเลือกให้เราเสมอ หน้าที่เดียวของเราคือดูแลตัวเองให้พร้อมกับการรักษา ทั้งกายและใจ คุณหมอจะบอกเสมอว่า ถ้ามะเร็งกลับมาเป็นอีก ก็ไม่เห็นจะเป็นไร ก็แค่รักษากันไป เพราะวันนี้มียารักษามะเร็งมากมาย และตราบใดที่คุณหมอบอกว่า ยังมีโอกาสรักษา ก็เดินหน้าต่อ อย่าถอดใจ”  

มุมมองต่อมะเร็ง

“เชื่อว่าเกือบทุกคนพอได้ยินคำว่า ‘มะเร็ง’ ก็ใจสลายกันทุกคน ณ วันแรกที่รู้ผลชิ้นเนื้อ คำถามแรกที่แวบขึ้นมาในหัวก็คือ เราจะอยู่บนโลกนี้ได้อีกกี่ปี เพราะตอนนั้นลูกๆ ก็ยังเล็ก ความเป็นห่วงถาโถมเข้ามา จนกลายเป็นการโทษตัวเองว่า ทำไมปล่อยปละละเลยตัวเองจนเป็นมะเร็งถึงขนาดนี้ ทำไมไม่ใส่ใจตัวเองมากกว่านี้ ยิ่งไม่มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งมาก่อน เราก็ยิ่งเชื่อว่าสาเหตุการเป็นมะเร็งในครั้งนี้ก็น่าจะมาจาก ‘ตัวเอง’ นี่แหละ 

“ตอนนั้นพยายามหาสาเหตุว่า อะไรที่ทำให้เป็นมะเร็ง ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่เชื่อว่าน่าจะมีผลก็คือ ความไฟแรง ของตัวเอง เพราะตั้งแต่ศึกษาจบมา เราก็มุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่และค่อนข้างกดดันตัวเองอยู่พอสมควร ทุกอย่างต้องเป๊ะ ต้องเพอร์เฟกต์ ด้วยความที่เราฝันที่จะได้ใส่ชุดสีขาวมาตลอด และมองว่าอาชีพพยาบาลเป็นงานที่มีเกียรติและมั่นคง จบแล้วมีงานรออยู่เลย ไม่ต้องไปเดินหางานเหมือนอาชีพอื่น  

“หลังจากเป็นนักศึกษาวิชาการพยาบาลก็รู้เลยว่า คนที่จะเป็นพยาบาลได้นั้น แค่ใจรักอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องมีความเสียสละสูงมาก ช่วงขึ้นปี 2 ทุกคนต้องเริ่มฝึกงาน การเรียนพยาบาลนั้นเน้นการปฏิบัติงานจริง เก็บเกี่ยวประสบการณ์จริงบนตึกผู้ป่วย ฉะนั้น ทุกอย่างต้องเป๊ะ ไม่ว่าจะเป็นการทำหัตถการหรืออะไรก็ตาม ไม่มีพื้นที่ให้ความผิดพลาดได้เลย ฉะนั้น เราต้องศึกษาและอ่านตำรามาอย่างหนักก่อนจะมาฝึกงานทุกวัน ช่วงนั้นจึงแทบไม่ได้นอนเลย ในหัวมีแต่คำว่า เราต้องเก่ง! เราต้องทำได้!  

“พอเรียนจบ เรากลับมารายงานตัวในฐานะ ‘เด็กทุน’ ที่สาธารณสุขจังหวัด ก่อนจะมีการจับสลากเพื่อลุ้นว่านักเรียนทุนจะได้ไปทำงานใช้ทุนที่โรงพยาบาลไหน แต่ตอนนั้นด้วยความไฟแรง เราก็เสนอตัวเลยว่า จะไปทำงานที่ โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา เพิ่งเปิดในโคราช แน่นอนว่าเราเป็นเหมือนพยาบาลรุ่นบุกเบิกที่ต้องมาช่วยพี่ๆ พยาบาลบูรณาการโรงพยาบาลเพื่อประชาชน ไม่มีโอทีหรือรายได้ใดๆ นอกจากเงินเดือน 8,000 บาท ถามว่า อยู่ได้ไหม? ก็อยู่ได้ แต่ต้องหาเก็บผักบุ้งชายนากินกันไปก่อน

“หลังจากทำงานใช้ทุนอยู่ที่นั่น 3 ปี เราก็แต่งงานและมีลูกคนแรก ก่อนจะตัดสินใจย้ายกลับมาประจำที่ สถานีอนามัยในเขตอำเภอด่านขุนทด บ้านเกิด เพื่อกลับมาอยู่กับครอบครัว แต่ก็ยังคงทำงานอย่างเต็มที่เหมือนเดิม กระทั่งท้องลูกชายคนที่สอง ตอนนั้นเราตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าหลังคลอด จนคุณหมอต้องให้กินยา และนั่นเป็นต้นเหตุให้เราไม่สามารถให้นมลูกได้ ส่งผลให้เรามีภาวะท่อน้ำนมอุดตัน อาการหนักถึงขั้นเต้านมบวมแดง ต้องกินยาฆ่าเชื้อ เหตุนี้น่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดความผิดปกติขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุใด เราก็พร้อมน้อมรับ” 

โรงเรียนสัจธรรม

“เราไม่เคยเสียใจเลยที่เลือกอาชีพพยาบาล 16 ปีที่เราทำเพื่อคนอื่นหรือดูแลคนไข้มามากมาย มันไม่สูญเปล่า วันนี้เราได้รับการตอบแทนมาด้วยรอยยิ้ม คำอวยพร ของเยี่ยม ของฝากสารพัด ฯลฯ จากคนไข้ที่เราเคยดูแล และสิ่งหนึ่งที่เราเชื่อเสมอมาก็คือ การพบมะเร็งระหว่างที่ทำงานพยาบาลอาสาที่ ‘โรงพยาบาลบุษราคัม’ ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่น่าจะเป็นผลจากการเสียสละตัวเองเพื่อผู้ป่วยโควิดในครั้งนั้น ทำให้เราได้เจอก้อนที่เต้านมในระยะที่ยังมีโอกาสรักษาได้  

“ที่สำคัญงานในโรงพยาบาลได้บ่มเพาะให้เราเรียนรู้เรื่อง ‘เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย’ อยู่ทุกขณะจิต จากเดิมที่คิดว่าความตายเป็นเรื่องน่ากลัว แต่เมื่อเราทำงานมาสักพัก เราก็เข้าใจเลยว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมชาติ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตายเป็นของตัวเอง และการเผชิญกับมะเร็งในครั้งนี้ ก็ยิ่งตอกย้ำว่าไม่มีใครหลีกพ้นการเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้ วันใดที่ถึงคิวของเรา…ก็วันนั้น 

“ทุกวันนี้เราแค่ให้อิสระและคืนความสุขให้กับตัวเอง ตื่นขึ้นมาพร้อมกับคำขอบคุณตัวเองทุกๆ เช้า ขอบคุณที่ยังมีลมหายใจ ขอบคุณร่างกายที่สู้มาด้วยกันจนถึงวันนี้ ขอบคุณมะเร็งที่ยังให้โอกาสเราได้แต่งหน้าสวยออกไปทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยไหว ขอบคุณที่มะเร็งเข้ามาทำให้เราและทุกคนรอบข้างได้เรียนรู้สัจธรรมของชีวิต และเสริมความแข็งแกร่ง สร้างภูมิคุ้มกันให้ทุกคนไปพร้อมๆ กัน สำคัญที่สุดคือมะเร็งเข้ามาทำให้เรารู้ว่า ชีวิตนี้เราโชคดีแค่ไหน

“จากที่เคยคลุกคลีกับกลุ่มผู้ป่วยมะเร็ง เราได้เรียนรู้ว่ามีผู้ป่วยมะเร็งจำนวนมากที่ครอบครัวพังหลังเป็นมะเร็ง ผู้หญิงหลายคนถูกทิ้งเพียงเพราะเธอเป็นมะเร็ง นั่นตอกย้ำให้เรารู้ว่า ตัวเองโชคดีแค่ไหนที่มีคู่ชีวิตเป็นผู้ชายคนนี้ ในวันที่เราทุกข์ ท้อ ล้มลง แค่มีคนคอยอยู่ข้างๆ พร้อมดูแลเราทุกอย่าง เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ 

“นอกจากนี้ มะเร็งยังทำให้เรามองเห็น ‘ความรัก’ มากมายที่โอบล้อมตัวเราอยู่ ไม่ว่าจากครอบครัว สามี ลูกๆ หรือแม้แต่กัลยาณมิตรที่แวดล้อมเรา ไม่มีอะไรที่เราต้องการอีกแล้ว นี่คือความสมบูรณ์แบบที่สุดในชีวิตมนุษย์คนหนึ่งแล้ว…ชีวิตหลังจากนี้ก็แค่อยู่กับปัจจุบัน และให้เวลากับความสุข รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะอย่างเต็มที่”

กำลังใจสำคัญ

#มะเร็งเต้านมรู้เร็วรักษาเร็วก็หายได้
#เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป
#TBCCLifegoeson
#ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย
แชร์ไปยัง
Scroll to Top