วรรณนิฐา ลำเจียกเทศ : เฮอร์ทูวิทยา ตำราสอนชีวิต

“มะเร็งคือสัญญาณเตือน
ให้เราหันมารักตัวเองมากขึ้น 
ดูแลตัวเองมากขึ้น”

เบล-วรรณนิฐา ลำเจียกเทศ พนักงานราชการวัย 40 กะรัต ผู้หลงรัก ‘คอสเพลย์’ เป็นชีวิตจิตใจ เธอโลดแล่นอยู่ในวงการคอสเพลย์มากว่า 20 ปี จากงานอดิเรกกลายมาเป็นอาชีพเสริมที่สร้างรายได้ให้เธอในวันหยุด แถมสร้างความสุขและรอยยิ้มให้เธออย่างมหาศาล เธอใช้ชีวิตในทุกๆ วันอย่างเต็มที่ไปกับทุกสิ่งที่เธอรักและศรัทธา โดยลืมไปว่าการดูแลตัวเองก็สำคัญ จนวันที่ ‘มะเร็ง’ เข้ามาทักทาย นั่นเป็นเสมือนตำราเล่มใหญ่ของชีวิต 

“เมื่อก่อนเกลียดมาก เวลาที่ใครบอกว่า ‘มะเร็งเป็นโรคของกรรม’ แต่เดี๋ยวนี้เรากลับพบว่า มันคือเรื่องจริง เพราะ ‘กรรม’ ก็คือผลจากการกระทำ มะเร็งก็เป็นผลจากการกิน การอยู่ และการไม่ดูแลตัวเองของเรานี่แหละ หากลองมองย้อนกลับไปในอดีต เราจะเห็นถึงความประมาทในการใช้ชีวิตมากมาย

“มะเร็งครั้งนี้สอนให้เรารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ เรื่องดีหรือร้าย ล้วนส่งผลกับชีวิตเราเสมอ ฉะนั้น อย่าคิดว่าตัวเองอายุยังน้อยจะไม่เป็นมะเร็ง อย่าคิดว่าตัวเองแข็งแรงดีแล้วละเลยที่จะตรวจสุขภาพประจำปี เพราะมะเร็งไม่เลือกวัย ไม่เลือกเพศ ไม่เลือกฐานะ เราทุกคนล้วนมีโอกาสเป็นมะเร็งได้เหมือนกันหมด ฉะนั้น ดูแลตัวเองให้ดีที่สุด รักตัวเองให้มากที่สุด และอย่าประมาทในการใช้ชีวิต จะได้ไม่เสียใจในภายหลัง” 

ความเสี่ยงที่เลี่ยงไม่ได้

“โดยส่วนตัวเบลมีฮอร์โมนเพศชายมากกว่าปกติมาแต่ไหนแต่ไร คุณหมอก็มักจะเตือนมาตั้งแต่วัยรุ่นแล้วว่าให้เราดูแลตัวเองดีๆ นะ เพราะนอกจากทำให้ผนังมดลูกหนาแล้ว ก็ยังส่งผลให้มีภาวะฮอร์โมนแปรปรวนได้ตลอด ซึ่งอาการที่เป็นปัญหามาตั้งแต่วัยรุ่นก็คือประจำเดือนจะมามากกว่าปกติ ยิ่งอายุเพิ่มขึ้นก็ยิ่งเป็นปัญหา เพราะร่างกายผลิตเม็ดเลือดไม่ทัน

“บ่อยครั้งที่มีภาวะซีดจากการมีประจำเดือน เพราะปริมาณเม็ดเลือดแดงในเลือดน้อยกว่าปกติ ส่งผลให้มีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ผิวซีดหรือผิวเหลือง จนบางครั้งต้องไปนอนให้เลือดที่โรงพยาบาล นั่นคือครั้งแรกที่ร่างกายเริ่มส่งสัญญาณเตือนเราแบบดังที่สุด เพราะก่อนหน้านี้เราก็อาจจะมีอาการอื่นๆ มาเตือนบ้างเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นภาวะซีด เวียนหัว ผมและเล็บไม่แข็งแรง แต่ถามว่าใส่ใจไหม คำตอบก็คือไม่ (หัวเราะ) เรายังคงทำงานหนัก นอนดึก หมอแนะนำให้ดูแลเรื่องอาหารการกินและหาวิตามินเสริมมาช่วย เราก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ปล่อยปละละเลย ไม่ดูแลตัวเอง

“จนกระทั่งปลายปี 2560 จำได้ว่าอยู่ดีๆ ก็วูบไปเฉยๆ ตื่นมาอีกทีก็อยู่โรงพยาบาลแล้ว มาทราบทีหลังว่าความดันต่ำจากการเสียเลือดประจำเดือน จนร่างกายไม่ไหว ครั้งนี้คุณหมอจึงแนะนำให้ฉีดยาคุม 2 เข็มเพื่อหยุดประจำเดือนก่อน 6 เดือน ปรับสมดุลให้ร่างกายฟื้นฟู หลังจากจบการรักษาครั้งนั้นไปเพียง 2 ปี เราก็มาพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านม”

เฮอร์ทูวิทยา ตำราสอนชีวิต

“ราวปลายปี 2563 เรามีโอกาสได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งเขาเพิ่งจบการรักษามะเร็งเต้านมมาหมาดๆ วันนั้นพวกเราคุยกันหลายเรื่อง แต่ที่จำได้ขึ้นใจก็คือเขาบอกว่า ผู้หญิงทุกคนนั้นมีฮอร์โมนเพศที่เรียกว่า ‘เอสโตรเจน’ และ ‘โปรเจสเตอโรน’ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการเจริญของเซลล์มะเร็งเต้านมได้ นั่นเองที่ทำให้ผู้หญิงอย่างเราๆ ประมาทไม่ได้เด็ดขาด เราควรจะตรวจเต้านมด้วยตัวเองเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ  

“หลังจากกลับบ้านมาวันนั้น เราก็ลองคลำเต้านมตัวเองทันที เพราะอยากรู้ว่ามีหรือเปล่า ซึ่งตลกมาก คลำปุ๊บเจอก้อนปั๊บ (หัวเราะ) พอเจอก็ไปหาคุณหมอวันนั้นเลย และหลังจากคุณหมอคลำเสร็จ ก็ไม่ส่งแมมโมแกรมหรืออัลตราซาวนด์ใดๆ เลย นัดเจาะชิ้นเนื้อทันที ด้วยความที่ก้อนนั้นอยู่ตื้นมาก บริเวณหลังหัวนมข้างขวา ทำให้คลำแล้วค่อนข้างรู้เลยว่ามีลักษณะเข้าข่ายมะเร็งสูงมาก

“พอได้ยินอย่างนั้น ยอมรับว่าใจร่วงไปอยู่ตาตุ่มทันที กลัวสุดๆ แต่ก็พยายามทำใจดีสู้เสือ ไปเจาะชิ้นเนื้อตามนัด จำได้ว่าพอเจาะชิ้นเนื้อเสร็จ คุณหมอก็บอกว่า อีก 5-7 วัน ถึงรู้ผลนะ แต่ยังไม่ทันพ้นวันที่ 3 เลย ก็มีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลเลื่อนนัดให้มาฟังผลเร็วขึ้น 

“วันที่นัดฟังผลก็เจอผู้ป่วยอีกท่านมานั่งรออยู่หน้าห้องคุณหมอ คุยกันไปคุยกันมาจึงรู้ว่ามารอฟังผลชิ้นเนื้อเหมือนกัน และพอรู้ผลเท่านั้นแหละ นั่งกอดคอกันร้องไห้เลย เพราะเป็นมะเร็งเต้านมทั้งคู่ เราเป็นข้างขวา ส่วนเขาเป็นทั้งสองข้างเลย วันนั้นจึงได้ ‘เพื่อนใหม่’ มาอย่างไม่คาดฝัน”

ตั้งสติ…สู้!

“หลังปาดน้ำตาเสร็จสรรพ คุณหมอก็ถามขึ้นมาคำหนึ่งว่า ‘ผ่าเลยไหม’ และแนะนำให้ผ่าแบบตัดทิ้งยกเต้า เพื่อถอนรากถอนโคนไปเลย แต่ด้วยสภาพจิตใจเราในตอนนั้นยังย่ำแย่มาก ทำใจไม่ได้ จึงขอคุณหมอกลับมาตั้งสติก่อน ซึ่งคุณหมอก็เข้าใจ ยอมให้กลับมาคิดพิจารณาก่อน แต่ก่อนกลับคุณหมอก็ทิ้งท้ายว่า “มาถึงขนาดนี้แล้ว อย่างไรก็ต้องผ่าตัดทิ้ง หมอเจอเคสมาเยอะ ไม่ต้องห่วง หมอจะช่วยให้ถึงที่สุดอยู่แล้ว” 

“แม้จะเป็นคำพูดที่ทำให้เราใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่ยอมรับว่าก็ยังไม่พร้อมสู้ เพราะสติของเรากระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว ไม่รู้จะเดินต่อไปอย่างไร โชคดีที่จู่ๆ ‘จิตแพทย์’ ก็แว่บเข้ามาในหัว จึงเดินเข้าไปปรึกษาแบบไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า 

“วันนั้นก็เล่าถึงสภาพจิตใจของเราให้คุณหมอฟังแบบตรงไปตรงมาว่าย่ำแย่แค่ไหน คุณหมอก็ให้กำลังใจและไกด์ไลน์มาให้มากมาย เพียง 1 ชั่วโมง จากคนที่ข้างในกำลังจะแตกสลาย มืดมิดไปหมด กลายเป็นสว่างไสวและทันทีที่ก้าวออกจากห้องคุณหมอ เรารู้เลยว่าเราจะจัดการกับชีวิตต่อไปอย่างไร”

สุขสันต์วันผ่าตัด

“พอสติกลับมา เราก็โทรนัดวันผ่าตัดกับคุณหมอทันที โดยตั้งใจจะผ่าตัดแบบยกทิ้งทั้งเต้าและไม่เสริมสร้างเต้าใหม่ เพราะไม่อยากเจ็บตัวหลายๆ ครั้ง แต่ด้วยคิวห้องผ่าตัดไม่ว่าง จึงต้องรออีกประมาณ 3 สัปดาห์ ที่น่าขำก็คือวันที่ห้องผ่าตัดว่าง ดันตรงกับวันคล้ายวันเกิดในปีที่ 38 ของชีวิตพอดิบพอดี จำได้เลยว่าพอคุณหมอผ่าตัดเสร็จ ก็ปลุกเรามาดูก้อนมะเร็ง แถมบอกว่า แฮปปี้เบิร์ทเดย์น้า…ก้อนมะเร็งออกมาแล้ว (หัวเราะ) 

“จากก้อนขนาด 2.5 เซนติเมตร ในวันที่คลำพบ จนมาถึงวันผ่าตัดซึ่งผ่านมาเพียง 3 สัปดาห์ เชื่อไหมว่าก้อนใหญ่ขึ้นเป็น 6.2 เซนติเมตร แถมยังลามไปยังต่อมน้ำเหลืองอีก 3 ต่อม นั่นทำให้เราก้าวกระโดดมาเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะ 3 ทันที หนำซ้ำยังเป็นมะเร็งชนิดดุที่รู้จักกันในชื่อ เฮอร์ทู (HER2) อีกด้วย 

“หลังจากแผลผ่าตัดหายดี คุณหมอก็ทำเรื่องส่งตัวไปรักษาด้วยเคมีบำบัดต่อที่อีกโรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งเราต้องให้เคมีสูตรน้ำแดง 4 เข็ม และสูตรน้ำขาวอีก 4 เข็ม ซึ่งโชคดีมากที่นอกจากผมร่วง เล็บมือและเล็บเท้าดำแล้ว เราแทบไม่มีผลข้างเคียงจากเคมีบำบัดเลย สามารถกินได้ นอนหลับ แถมน้ำหนักขึ้นอีกต่างหาก ทำให้ผลเลือดผ่านฉลุย ไม่มีสะดุด โดยที่ผ่านมาจะเน้นกินอาหารที่สุก สะอาด และครบ 5 หมู่ อาจจะเน้นที่โปรตีนมากหน่อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นโด๊ปหรือต้องพึ่งอาหารเสริมใดๆ เลย ที่สำคัญก็ยังทำงานได้ตามปกติ จะพักบ้างในช่วงให้คีโม 4-5 วันแรกเท่านั้น

“หลังจบการรักษาด้วยเคมีบำบัด พักฟื้น 1 เดือน ก็เข้าสู่กระบวนการฉายแสงต่ออีก 16 ครั้ง จากนั้นคุณหมอก็แนะนำให้รักษาด้วยยาพุ่งเป้าสำหรับเฮอร์ทูโดยเฉพาะต่ออีก 18 เข็ม เพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิต ซึ่งเพิ่งจบเข็มสุดท้ายไปเมื่อ พ.ค. ปีที่แล้ว และติดตามผลทุกๆ 3 เดือนมาระยะหนึ่งแล้ว”  

เคล็ดวิชา…ท้าชนมะเร็ง

“ใจเราสำคัญที่สุด สู้หรือถอยอยู่ที่ใจเราทั้งนั้น ในวันที่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งครั้งแรก เชื่อว่าเกือบทุกคนกลัว! เรากลัวไปหมด กลัวเจ็บ กลัวตาย กลัวสู้ไม่ไหว ฯลฯ ซึ่งหากเราพิจารณาดูให้ดี จะเห็นว่าความกลัวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนมาจากความคิดที่เรามโนขึ้นมาล่วงหน้าทั้งสิ้น ฉะนั้น หยุดมโนแล้วเอา ‘ใจ’ มาอยู่กับปัจจุบัน 

“ณ วันที่เบลเดินไปหาจิตแพทย์ ความรู้สึกเหมือนข้างในกำลังจะแตกสลาย คุณหมอพูดมาคำหนึ่งว่า ยังไม่ตายสักหน่อย… นั่นเป็นประโยคที่ช่วยดึงสติเรากลับมาให้เห็นความจริงตรงหน้าว่า เออ…นี่เราถอยตั้งแต่ยังไม่ทันสู้ด้วยซ้ำ เราหลงลืมจะมองดูรอบข้างว่า วิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้าไปไกลแล้ว คนที่เป็นมะเร็งแล้วหายมีตั้งเยอะแยะ ลุงแท้ๆ ของเบลเองก็เป็นอดีตผู้มะเร็งปอดระยะสุดท้ายที่คุณหมอวินิจฉัยว่าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน จนถึงวันนี้ผ่านมากว่า 12 ปีแล้ว ลุงก็ยังเดินปร๋อ ใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ แม้ปอดจะหายไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ตาม  

“ฉะนั้น กายป่วย อย่าปล่อยให้ใจป่วยตาม กำลังใจที่ดีที่สุดต้องมาจากตัวเราเองก่อน มีผู้ป่วยมะเร็งหลายคนที่พอรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งแล้วกลายเป็นซึมเศร้าเยอะมาก อย่างเพื่อนใหม่ที่เบลพบหน้าห้องคุณหมอและกอดคอกันร้องไห้เมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เขาก็รับไม่ได้จนกลายเป็นซึมเศร้า จากนักกีฬาที่ดูแข็งแรงกลายเป็นคนอ่อนแอ และหลังจากให้คีโมได้ไม่กี่เข็มก็เสียชีวิตลงจากอาการติดเชื้อในกระแสเลือด นั่นทำให้เราเรียนรู้ว่าใจเราสำคัญที่สุด     

“เมื่อรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง กลัวได้ เคว้งคว้างได้ แต่อย่าให้นาน ดึงสติกลับมาให้เร็ว แล้วสู้ด้วยกำลังใจทั้งหมดที่เรามี เชื่อเหอะว่ามะเร็งก็เป็นแค่โรคโรคหนึ่งที่รักษาได้ ยิ่งเจอไว ยิ่งเพิ่มโอกาสการรักษา และเมื่อรักษาหายแล้วก็อย่าประมาท ควรเฝ้าระวังและตรวจติดตามอย่างสม่ำเสมอ

“สำคัญที่สุดคืออย่ากลัวที่จะตัดเต้าทิ้งเพื่อรักษาชีวิต ทุกวันนี้มีตัวช่วยให้เรา ‘สวย’ ได้สารพัด ไม่ว่าจะเสริมสร้างเต้าใหม่ หรือหากใครไม่อยากเจ็บตัวอย่างเบลก็มีตัวช่วยมากมาย เช่น ซิลิโคนปลอมที่มีหลายรูปแบบ หลายขนาด แถมหาซื้อง่ายมาก และข้อจำกัดของคนมีเต้าเดียวลดลงเรื่อยๆ วันนี้การไม่มีเต้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกแล้ว…”  

แชร์ไปยัง
Scroll to Top