“ตอนที่รู้ว่าเป็นมะเร็งครั้งแรก
ยอมรับว่ากลัว…กลัวมาก
กลัวไปหมด กลัวผมร่วง กลัวทรมาน
กลัวจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไม่มีคุณภาพ
แต่ในความเป็นแม่…เราไม่มีทางเลือกมาก
นอกจากต้องสู้เพื่อจะได้อยู่กับลูกให้นานที่สุด”
พิ้ง-ธิยานันท์ กมลกุลวิศิษฐ์ ติ๊กตอกเกอร์คนดังที่รู้จักกันในชื่อ ‘พิ้งเป็นแม่แพนเตอร์’ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยววัย 33 ปี ที่กำลังต่อสู้กับมะเร็งเต้านมชนิด HER2 Positive ระยะสุดท้ายไปพร้อมกับการดูแล ‘ลูกชาย’ วัย 2 ขวบ ที่กำลังน่ารักน่าชัง ย้อนหลังกลับไปเมื่อเธออายุได้เพียง 12 ปี พิ้งสูญเสียคุณแม่ไปด้วยอาการปอดล้มเหลว และต้องใช้ชีวิตตามลำพัง ทำงานทุกอย่างเท่าที่เด็กวัยนั้นจะทำได้ เพื่อแลกกับค่าจ้างเล็กน้อยที่จะช่วยให้เธออิ่มท้องไปวันๆ
“ก่อนหน้าที่แม่จะเสียชีวิตราว 5 ปี ท่านเริ่มป่วย ร่างกายค่อยๆ ทรุดลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เดินไม่ได้ และวันหนึ่งแม่ป่วยหนัก เราจึงอุ้มท่านขึ้นแท็กซี่และพาไปหาหมอ โดยไม่คาดคิดเลยว่าวันนั้นจะเป็นวันสุดท้ายของแม่ และตั้งแต่จำความได้แม่ก็เลี้ยงเรามาตามลำพัง โดยที่เราเองไม่รู้ว่าพ่อไปไหนและไม่ได้สนิทกับญาติคนใดเลย ทำให้หลังจากแม่จากไป เราจึงตัดสินใจใช้ชีวิตตามลำพัง โดยมีเพื่อนบ้านที่รู้จักและผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเราคอยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือบ้างเป็นระยะๆ แต่เราเองก็จะตระหนักอยู่เสมอว่า ต้องดูแลตัวเองให้ได้โดยไม่คิดจะพึ่งพาใคร ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราตัดสินใจออกจากโรงเรียนเพื่อมาหางานทำ”
.
อายุน้อย…ร้อยอาชีพ
“ไม่ว่าจะเป็นเด็กเฝ้าร้านอินเทอร์เน็ต, เด็กเสิร์ฟ, คนขายซีดีหน้าห้าง, พนักงานในธนาคาร, พนักงานในโรงพยาบาล ฯลฯ เราทำมาหมด ถามว่าลำบากไหม ลำบากนะ แต่จะไม่ทำก็ไม่ได้ วันไหนไม่ทำนั่นเท่ากับวันนั้นอดข้าว ทำให้ชีวิตไม่เคยหยุดเลย และไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน สิ่งที่เป็นเหมือนกำลังใจให้เราสู้ต่อไปก็คือคำสอนของแม่
“แม่มักจะคอยสอนเสมอว่า ‘แม้วันนี้จะลำบาก แต่ขอให้ตั้งมั่นทำแต่สิ่งที่ดี สักวันมันต้องดีขึ้นแน่นอน และไม่ว่าจะเจออะไร ร้ายแรงแค่ไหน ในเรื่องร้ายๆ นั้นมักจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเสมอ’ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาเราพบว่า ชีวิตก็เป็นอย่างที่แม่บอกจริงๆ เพราะหลังจากที่แม่จากไป ก็จะมีผู้ใหญ่ใจดีหลายท่านที่คอยช่วยเหลือเรา แม้จะไม่ได้เป็นญาติ หรือมีความผูกพันกันทางสายเลือด แต่เขาก็ยินดีให้ที่พัก ที่กิน ที่ทำงาน ฯลฯ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเราต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน รำคาญใจ ที่สำคัญคือไม่พาตัวเองออกนอกลู่นอกทางเด็ดขาด
“ต้องขอบคุณที่แม่จากไปในวัยที่เรารู้จักผิดชอบชั่วดีและแยกแยะได้ว่า อะไรคือสิ่งที่ดี และ อะไรที่เราไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว ทำให้เรารู้จักเลือกและเชื่อมาเสมอว่า แม้ชีวิตเราจะแหว่งวิ่น ไม่สมบูรณ์แบบแค่ไหน แต่ถ้าเลือกพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่แวดล้อมไปด้วยคนดีๆ สังคมดีๆ เราก็จะได้รับพลังดีๆ ซึ่งจะนำพาชีวิตเราไปในจุดที่ดีๆ”
.
เรียนรู้นอกโรงเรียน
“หลังจากตัดสินใจออกจากโรงเรียนด้วยภาวะจำยอม ชีวิตนำพาเราไปอยู่ในสังคมอีกระดับที่เขาไม่รู้ว่าเราเรียนมาน้อย แล้วตัวเราเองก็กลัวว่าเขาจะรู้ด้วย (หัวเราะ) จึงพยายามเสาะหาความรู้ทุกทาง หนึ่งในวิธีที่เราใช้หาความรู้ก็คือ Google เช่น วันไหนเจอคำภาษาอังกฤษที่ไม่รู้ เราก็จะมาหาแล้วว่า คำนี้แปลว่าอะไร พิมพ์อย่างไร ฯลฯ ซึ่งโชคดีมากที่งานเฝ้าร้านอินเทอร์เน็ตทำให้เราได้เรียนรู้การใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต รวมถึงการเล่นเกม ทำให้เราได้เห็นว่ามีช่องทางหารายได้อีกทางหนึ่งก็คือ การขายสินค้าในเกม โดยสินค้าส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ ฉะนั้น เราก็ต้องมานั่งหาคำแปล และจดจำให้ได้เพื่อคุยกับลูกค้าที่มีหลากอายุและหลายฐานะ
“นอกจากนี้ หน้าที่อย่างหนึ่งของเด็กเฝ้าร้านอินเทอร์เน็ตก็คือการแก้ปัญหาเบื้องต้นให้ลูกค้า เช่น คอมพิวเตอร์เสีย หรือลูกค้าคนไหนโหลดเกมไม่ได้ เราต้องแก้ปัญหาให้เขาได้ระดับหนึ่ง เพราะจะคอยแต่พึ่งพาเจ้าของร้านอย่างเดียว อาจจะทำให้งานนี้หลุดมือได้ ฉะนั้น หากจะรักษางานนี้ไว้ สิ่งเดียวที่เราต้องทำก็คือหาความรู้ใส่ตัวให้ได้มากที่สุด ซึ่งสมัยนั้นเราก็ใช้ Google นี่แหละเป็นเสมือนครู เรียนรู้ทุกอย่างที่เราอยากรู้”
.
ซีรีส์เกาหลีพารวย
“พออายุ 20 ปีนิดๆ เพื่อนสนิทสมัยที่เรียนอยู่ชั้น ม.1 ตอนนั้นเขาเพิ่งจบ ปวช. และมาชวนเราไปเที่ยวประเทศเกาหลี ด้วยความที่เป็นติ่งซีรีส์เกาหลีอยู่แล้ว จึงยอมควักเงินเก็บทั้งหมดที่มีแบบไม่รีรอและบินไปกับเขาเลย (หัวเราะ) ทริปนั้นไปถึงเกาหลีก็ถ่ายรูปอวดเพื่อนๆ ในโซเชียลทันที พอเพื่อนๆ เห็นก็ฝากซื้อของกันใหญ่โดยมีค่าหิ้วก๊อกๆ แก๊กๆ เป็นสินน้ำใจ
“จำได้ว่าพอกลับมาเมืองไทย ส่งของให้เพื่อนๆ ทุกคนแล้ว ก็มานั่งหักลบกลบหนี้เงินในบัญชี ปรากฏว่ากำไรจากการหิ้วสินค้าในครั้งนั้นเหมือนเราได้เที่ยวเกาหลีฟรีๆ เลย จึงปิ๊งไอเดียรับพรีออเดอร์สินค้าจากเกาหลี สัปดาห์ถัดมาก็จองทัวร์ไปเกาหลีเองคนเดียวเลย (หัวเราะ) ทั้งที่ภาษาก็ไม่ได้ แต่ใช้วิธีหาเพื่อนที่อยู่เกาหลีผ่านทางออนไลน์ และบอกว่าเรามีแผนจะไปเที่ยวเกาหลี แต่เราไม่เก่งภาษา ขอความช่วยเหลือหน่อย โดยขอแลกกับการพาเขาเที่ยวหากเขาเดินทางมาเมืองไทย ช่วงนั้นเป็นชีวิตที่สนุกมาก เดินทางเป็นว่าเล่น โดยใช้ Google ช่วยแปลภาษา และมี Siri เป็นครูฝึกสำเนียงให้ (หัวเราะ)
“ทำอยู่แค่สองเดือนก็เริ่มได้จับเงินล้าน นอกจากเกาหลี เราก็เริ่มเดินทางไปประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชียเกือบทั้งหมด เพราะเราเชื่อว่าทุกประเทศจะมีของดีประจำถิ่นอยู่แล้ว เพียงแต่เราต้องหากลุ่มที่มีความต้องการให้เจอ และจับทั้งสองมาแมตช์กันให้ได้ เช่น ถ้าไปพม่า เราก็จะเข้าไปอยู่ตามกลุ่มคนที่สนใจพระเครื่องและของขลัง เพื่อรับพรีออเดอร์หลวงพ่อทันใจมาให้ผู้สนใจเช่าบูชา หรือถ้าไปญี่ปุ่นก็รับพรีออเดอร์อะไหล่จักรยาน ฯลฯ นอกจาก ‘พรีออเดอร์’ แล้วก็ยังซื้อมาเป็น ‘สินค้าพร้อมส่ง’ มาสต็อกไว้ด้วย ซึ่งก็จะได้ราคาดีกว่าการพรีออเดอร์ไปอีก”
.
ความรักครั้งแรกในชีวิต
“ทำอยู่ประมาณ 3 ปี ก็ได้เจอแฟนคนแรก อายุพอๆ กันและทำธุรกิจออนไลน์เหมือนกัน ทำให้คุยกันถูกคอ หลังจากตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันแล้วก็ช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวจนธุรกิจเติบโตไวมาก แฟนลงทุน เราลงแรงและความรู้ ชีวิตดีทุกอย่าง มีทั้งเงินทองและความรักที่ดี จนเรารู้สึกว่าชีวิตนี้เราคงไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว และตอนนั้นเองที่ตัดสินใจมีลูกด้วยกัน แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝัน เพราะสูญเสียลูกตั้งแต่ในครรภ์ถึงสองครั้งสองครา
“ชีวิตคู่ดำเนินมาจนย่างเข้าสู่ปีที่ 8 แฟนก็เดินมาบอกว่า เขายังไม่ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นเลย ด้วยความที่เราอาจจะคบกันเร็วและยังเด็กกันทั้งคู่ พอมาใช้ชีวิตด้วยกัน ทำงานด้วยกัน ตัวติดกันตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเหมือนเงาของกันและกันมาเกือบ 8 ปี ไม่เคยห่างกันเลย ความอบอุ่นคงกลายเป็นความอึดอัด ความรัก ณ วันนั้นคงไม่มีแล้ว เหลือก็เพียงแต่ความผูกพัน ตอนนั้นเราจึงตัดสินใจแยกจากกันด้วยดี แม้ลึกๆ ตัวเราเองจะรู้สึกว่าสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวของชีวิตเรากำลังหายไป ครอบครัวที่มีอยู่เพียงคนเดียวในชีวิตกำลังจะจากไป แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับและเดินออกมา
“ผลจากการแยกทางกันวันนั้น ก็ทำให้เราดิ่งถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า เก็บตัว ไม่ทำอะไรอยู่พักใหญ่ๆ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่โควิด-19 กำลังเข้ามาพอดี ธุรกิจที่เคยทำด้วยกันก็ต้องออกมาทำเองลำพัง เราตัดสินใจเอาเงินเก็บทั้งหมดไปลงทุน และก็เป็นไปตามคาดที่การลงทุนครั้งนั้นขาดทุน เหลือเงินกลับมาแค่หลักหมื่น โชคดีที่พอเพื่อนๆ รู้ข่าว ทุกคนก็พากันมาช่วยกันดึง ชวนออกมากินข้าว ที่สำคัญยังสนับสนุนและให้ยืมเงินไปทำทุน เพราะเขาเห็นศักยภาพและเชื่อมั่นว่าเราจะลุกขึ้นได้อีกครั้ง”
.
คุณแม่มือใหม่
“ด้วยความที่เพิ่งหมดเนื้อหมดตัวมา ทำให้เรากลัวธุรกิจออนไลน์ไปเลย กอปรกับยังอยู่ในช่วงที่โควิดกำลังระบาดหนักและประเทศกำลังล็อกดาวน์จึงยังไม่กล้าทำอะไรมาก และบังเอิญมาเจอ ‘พ่อของลูก’ ซึ่งคบกันได้ไม่นานก็ท้อง พอเขารู้ว่าเราท้อง เขาก็เลิกกับเราทันที โดยให้เหตุผลว่า เขายังไม่พร้อมจะมีลูก และทิ้งคำถามที่ทิ่มแทงใจเรามาตลอดจนถึงวันนี้ว่า ‘จะปล่อยให้ลูกเกิดมาและอยู่ในสภาพเดียวกับเธอเหรอ ต้องมีชีวิตซ้ำรอยเธอในวัยเด็ก ไม่มีพ่อ ไม่มีใคร’ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เราทิ้งโอกาสที่จะทำหน้าที่ ‘แม่’ โดยตอนนั้นเราตั้งใจไว้เลยว่าจะทำทุกทางเพื่อจะหนีประโยคนี้ พยายามอย่างที่สุดที่จะทำให้ลูกของเราอยู่อย่างสบาย ไม่โดดเดี่ยวเหมือนที่เราเคยผ่านมา
“แม้สภาวะจิตใจของเราย่ำแย่และดึงให้ร่างกายช่วงนั้นอ่อนแอไปด้วย จนคุณหมอที่ดูแลกันประจำแจ้งว่า ให้ทำใจไว้บ้างเพราะท้องนี้ก็อาจจะเสี่ยงเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยสองท้องที่ผ่านมา แต่เราก็ไม่ยอมแพ้ ลุกขึ้นมาบำรุงตัวเองและลูกในท้องอย่างดีที่สุด จนวันที่คลอดน้องออกมาและคุณหมอทำคลอดบอกว่า เด็กสมบูรณ์ดี วันนั้นเหมือนปลดล็อกทุกอย่างในใจ
“3 เดือนแรกในการเลี้ยงลูกคนเดียวบอกได้เลยว่า เหนื่อยยยยยยยยย…ที่สุดในชีวิต! นอนน้อย น้ำนมก็ไม่ค่อยมี ยิ่งเครียดก็ยิ่งไม่มีน้ำนม แต่ก็พยายามเอาลูกเข้าเต้า สลับกับการให้นมชง พอลูกหลับก็ต้องมาล้างขวดนม ซักผ้า ดูแลบ้าน และเข้าโซเชียลสำรวจกระแสความนิยมว่า คนกำลังสนใจอะไร ก็จะหาแหล่งสั่งสินค้ามาขาย โดยให้คนไปรับและส่งให้ลูกค้า โดยที่เราทำหน้าที่มอนิเตอร์อยู่ที่บ้าน พร้อมๆ ไปกับการเลี้ยงลูก ชงนม ล้างขวดนม ฯลฯ วนเวียนไปเป็นกิจวัตร ทำให้ช่วงนั้นพักผ่อนน้อยมาก ได้นอนครั้งละชั่วโมงก็ถือว่าเก่งแล้ว (หัวเราะ) แต่ก็ต้องทำ เพราะรายจ่ายมาจ่อรอเราอยู่แล้ว ทั้งค่าเช่าบ้าน ค่ากิน ค่านมลูก ค่าแพมเพิส ค่าอาหารแมวที่เลี้ยงไว้ ฯลฯ”
.
โรคร้ายมาทักทาย
“พอลูกย่างเข้า 8 เดือน เต้านมก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง นั่นทำให้เราสังเกตเห็นว่ามี ‘ก้อน’ ปูดออกมาที่เต้านมข้างขวา แต่ไม่มีอาการเจ็บใดๆ จะมีแค่ความรำคาญตอนนอนเท่านั้น ด้วยความที่เป็นคนชอบนอนคว่ำ ช่วงนั้นจึงนอนคว่ำไม่ได้เลย เพราะรู้สึกว่าเหมือนนอนทับลูกปิงปอง พอมีเวลาว่างจึงไปตรวจอัลตราซาวนด์ที่โรงพยาบาลเอกชน คุณหมอก็แจ้งว่า ‘รูปทรงมันดูไม่ค่อยดีเลย’ และแนะนำให้ทำแมมโมแกรมต่อ แต่ด้วยความที่เราไม่เคยตรวจสุขภาพมาก่อน จึงถามคุณหมอกลับว่า ‘ถ้าแมมโมแกรมแล้วจะรู้ผลเลยไหม’ คุณหมอก็บอกว่า ‘การแมมโมแกรมจะรู้เพียงว่า ก้อนที่พบนี้มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งมากน้อยแค่ไหน แต่หากอยากรู้ให้แน่ชัดก็อาจจะข้ามแมมโมแกรมไป ‘เจาะชิ้นเนื้อ’ ก็ได้ ซึ่งจะรู้ผลว่าเป็นมะเร็งหรือไม่’
“แต่ด้วยเงินที่มีอยู่จำกัด ขณะที่ค่าเจาะชิ้นเนื้อเป็นหมื่น เราจึงตัดสินใจกลับมาตั้งหลักก่อน และพยายามขายของจนได้เงินมาก้อนหนึ่ง ไม่เกินหนึ่งเดือนก็กลับไปหาคุณหมอเพื่อขอเจาะชิ้นเนื้ออีกครั้ง ซึ่งคุณหมอแจ้งว่ารอผลประมาณ 2 สัปดาห์ และด้วยภาระหน้าที่ตอนนั้นทำให้เราไม่ได้ไปฟังผลตามนัด จนลูกย่างเข้า 1 ขวบ ก็มีเหตุให้ต้องไปแอดมิตที่โรงพยาบาลนั้นเพราะลูกไม่สบาย จึงได้โอกาสแจ้งเจ้าหน้าที่ว่า จะขอฟังผลชิ้นเนื้อที่เคยตรวจไว้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ประสานให้จนได้พบคุณหมอ
“ทันทีที่คุณหมอแจ้งผลชิ้นเนื้อว่า เป็นมะเร็ง! จำได้ว่าตอนนั้นหูเราดับเลย ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย ด้วยความที่ไม่ได้เตรียมใจไว้เลย แต่ก็พยายามตั้งสติให้ได้ วันนั้นคุณหมอก็แจ้งว่า ‘ขนาดก้อนใหญ่นะ ราว 3 เซนติเมตรกว่า ผ่าตัดเลยไหม’ โดยคุณหมอประเมินค่าผ่าตัดมาประมาณ 2 แสนกว่าบาท และนัดคิวให้ผ่าตัดประมาณ 4-5 วันถัดมา เราก็ยอมรับกับคุณหมอไปตรงๆ ว่า เงินของเราไม่พร้อมจริงๆ คุณหมอก็น่ารักมาก แนะนำให้รีบไปใช้สิทธิ์บัตรทองที่โรงพยาบาลรัฐฯ โดยแนบเอกสารการตรวจชิ้นเนื้อมาให้ด้วย”
.
Cancer Anywhere
“พอกลับมาถึงบ้าน เราก็เสิร์ช Google หาข้อมูลเกี่ยวกับโรงพยาบาลตามสิทธิ์ ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่เคยใช้สิทธิ์มาก่อนเลย ทำให้ขั้นตอนเริ่มต้นค่อนข้างยุ่งยากมาก และด้วยความที่กลัวจะรอนานจนโรคลุกลาม เราจึงพยายามหาข้อมูลว่า จะมีทางอื่นอีกไหมที่จะทำให้เราได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด สุดท้ายก็ไปเจอโครงการ Cancer Anywhere ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งแล้ว สามารถรักษามะเร็งในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพพร้อมรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 41 แห่งทั่วประเทศ เพียงแค่ยื่นบัตรประชาชนสมาร์ทการ์ด
“วันรุ่งขึ้นเรานำบัตรประชาชนพร้อมเอกสารผลตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยาไปยื่นที่โรงพยาบาลรัฐฯ แห่งหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องการรักษามะเร็งเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศเลยก็ว่าได้ พอคุณหมอเห็นลักษณะก้อนและขนาดก็แนะนำเลยว่า ควรให้คีโมก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อจะได้ลดขนาดก้อนลงก่อนผ่าตัด จากนั้นก็ส่งเราไปปรึกษาคุณหมออีกท่านหนึ่งที่แผนกเคมีบำบัด และนั่นเองที่เป็นเหมือนจุดพลิกชีวิตของเราเลยก็ว่าได้
“วันนั้นคุณหมอให้ตรวจร่างกายทุกอย่าง ทั้งแมมโมแกรม, เอกซเรย์, ซีทีสแกน รวมถึงพันธุกรรม และย้อมสีชิ้นเนื้อ และไม่ว่าจะไปตรวจที่แผนกไหน ก็จะมีแต่คำพูดให้กำลังใจเราตลอดว่า อายุยังน้อยอยู่เลย ไม่เป็นไรหรอก ขนาดผู้ป่วยคุณยายยังรักษาหายเลย ตอนนั้นก็มีกำลังใจขึ้นมาก ไม่นานผลแมมโมแกรม เอกซเรย์ และซีทีสแกนก็ออกมา แต่ผลอื่นๆ ยังต้องรออยู่
“ด้วยความหวังดีของคุณหมอที่อยากให้เราเข้าสู่การรักษาไว จึงถามเราว่า ‘ให้คีโมเลยไหม’ ยอมรับว่าเราไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งมาก่อนเลย ก็ได้ตอบรับคำคุณหมอไปด้วยความดีใจ โดยหารู้ไม่ว่า จริงๆ แล้ว นอกจากระยะของโรคแล้ว ยังมี ‘ชนิดของมะเร็ง’ ที่เรามองข้ามไม่ได้เลย”
.
HER2 ครูของชีวิต
“ภายในเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ ก็เข้าสู่กระบวนการให้คีโม ตอนนั้นคุณหมอประเมินว่า เราต้องได้รับคีโมทั้งหมด 4 ครั้ง โดยคาดคะเนไว้ว่า ขนาดของก้อนมะเร็งจะต้องเล็กลง จากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการผ่าตัด และคีโมต่ออีกจนครบ 18 ครั้ง ซึ่งหลังจากผ่านคีโมไป 2 ครั้ง อาการก็แย่ลงเรื่อยๆ ก้อนที่หน้าอกก็ขยายขนาดขึ้นจนเห็นได้ชัด หนักกว่านั้นคือพบก้อนที่ใต้รักแร้หลายก้อน เป็นตะปุ่มตะป่ำเต็มไปหมด เราก็พยายามจะถามย้ำกับคุณหมอว่า ทำไมก้อนไม่เล็กลง อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย คุณหมอก็ได้แต่บอกว่า เพิ่งคีโมเข็มสองเอง ต้องรออีกหน่อย
“พอคีโมเข็มสาม ตอนนั้นเราเริ่มเดินไม่ได้แล้ว หายใจก็ลำบากขึ้น ต้องใช้ออกซิเจนช่วยหายใจ และกินยาขยายหลอดลม ก้อนที่หน้าอกและใต้รักแร้ก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นหุบแขนไม่ได้ น้ำหนักลดลงมา 5-6 กิโลกรัม เหลือแค่ 38-39 กิโลกรัม ต้องนั่งวีลแชร์ไปโรงพยาบาล และวันนั้นก็ตัดสินใจถามคุณหมออีกครั้งว่า ‘คุณหมอคะ ตามแผนการรักษา เหลือคีโมอีกแค่ 1 เข็ม ก็จะผ่าตัดแล้ว แต่ทำไมก้อนไม่ยุบลงเลย’
“ตอนนั้นเองที่คุณหมอเริ่ม เอ๊ะ! และไปเปิดผลตรวจชิ้นเนื้อดูในระบบ ก่อนจะพูดขึ้นว่า ‘เอ้า! คนไข้เป็นชนิดดุนี่…มันต้องได้ยาอีกตัวนะ’ พอได้ยินดังนั้น ใจเราตกไปอยู่ตาตุ่มเลย พยายามรวบรวมสติถามคุณหมอกลับไปว่า ‘แล้วอย่างนี้ หนูต้องทำอย่างไรต่อไปคะ’ คำตอบที่ได้รับก็คือต้องเปลี่ยนแผนการรักษา เพราะเราเป็นมะเร็งเต้านม ชนิด HER2 Positive ที่สำคัญสิทธิ 30 บาทที่ใช้อยู่นั้น ไม่ครอบคลุมยาเคมีบำบัดในแผนการรักษาใหม่ ซึ่งทางการเงินแจ้งว่าต้องจ่ายเงินทั้งหมด 8 แสนบาท ทันทีที่ตัดสินใจรับการรักษา โดยไม่สามารถผ่อนจ่ายได้เลย
“ด้วยสภาพร่างกายในตอนนั้น เรามองไม่เห็นหนทางที่จะหาเงิน 8 แสนบาท มารักษาตัวเองในเวลาจำกัดนั้นได้เลย จึงถามคุณหมอว่า ถ้าไม่ใช้ยาตัวนี้ จะมีทางอื่นๆ ที่จะรักษาอีกไหม คุณหมอก็เสนอมา 2 ทาง คือ ทางแรก ใช้แผนการรักษาเดิม ให้คีโมไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีกำหนดและยังไม่ผ่าตัด ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่า คีโมที่ผ่านมา 3 ครั้ง เราไม่มีท่าทีดีขึ้นเลย ตรงกันข้ามกลับแย่ลงเรื่อยๆ จึงคิดว่าคงไม่เลือกแน่ๆ นั่นทำให้คุณหมอเสนอ ทางที่สอง ก็คือ ‘หรือผู้ป่วยจะไปแผนการรักษาแบบประคับประคองไหม ไม่ต้องให้คีโมแล้ว รักษาไปตามอาการ’
“นับเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของชีวิตเลยก็ว่าได้ ที่วันนั้นไม่ได้รอ ‘ผลชิ้นเนื้อ’ ก่อนว่า เป็นมะเร็งชนิดไหน แม้โอกาสที่ผู้ป่วยมะเร็งอายุน้อยจะเป็นชนิดดุจะมีไม่มาก แต่เราก็ควรรอเพื่อให้มั่นใจก่อน ตอนนั้นการให้คีโมไปก่อนจึงถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ และทำให้มะเร็งลุกลามจนยากที่จะควบคุมแล้ว วันนั้นเราขอประวัติการรักษาทั้งหมดจากคุณหมอกลับมานอนกอด ร้องไห้ และเริ่มสั่งเสียกับเพื่อนๆ แล้วว่า ‘คงต้องไปแล้ว ยังไงฝากลูกด้วยนะ…’ เพราะครั้งนี้ไม่ใช่แค่หมดเงิน แต่เราหมดเวลาไปกับการรักษาโดยเปล่าประโยชน์ แทนที่เวลานั้นจะได้มาอยู่กับลูก และยังหมดโอกาสที่จะหายเพราะมะเร็งกระจายไปทั่วแล้ว และนั่นทำให้เราเริ่มหมดกำลังใจที่จะสู้ต่อแล้ว”
.
หมอไม่ได้มีคนเดียว
“‘หมอมีคนเดียวหรือไง! ทำไมไม่ลองหาหมอคนอื่นดูบ้าง…’ นั่นเป็นเสียงตวาดจากหนึ่งในเพื่อนๆ ที่เป็นเหมือนครอบครัว ซึ่งแวะเวียนมาช่วยดูแลลูกให้ระหว่างที่รักษาตัวและยังดูแลตัวเองไม่ไหว ช่วยดึงสติที่หลุดไปไกลของเรากลับมา และบอกกับตัวเองว่า ลองอีกสักครั้งดีกว่า จากนั้นก็ลงมือเสิร์ชหา ‘หมอมะเร็งเต้านม’ ใน Google ทันที ซึ่งวันนั้นชื่อที่ขึ้นมาเป็นชื่อแรกก็คือ ศาสตราจารย์ ดร.นพ.พรชัย โอเจริญรัตน์
“เราก็เข้าไปติดตามในเพจ Facebook และ Youtube ของคุณหมอ จากที่กลัว ท้อแท้ หมดหวัง และรู้สึกตัวเองมาสุดทางแล้ว พอได้อ่านบทความและดูคลิปคุณหมอหลายๆ คลิป ก็ทำให้เราเริ่มเห็นแสงสว่างเล็กๆ ที่ปลายอุโมงค์ จึงพยายามติดต่อคุณหมอและนัดหมายขอคำปรึกษาจากท่าน โดยไม่กล้าคิดว่าจะรักษากับท่านเลย เพียงแต่อยากหาคำตอบว่า โรคที่เราเป็น ณ ขณะนั้น ไม่มีหนทางอื่นรักษาแล้ว นอกจากจะต้องจ่ายเงิน 8 แสนบาท ตามที่คุณหมอเคมีบำบัดในโรงพยาบาลรัฐฯ บอกไว้…จริงไหม? เท่านั้นเอง หากคุณหมอบอกว่า จริง! ก็พร้อมจะน้อมรับและเตรียมตัวจากโลกนี้อย่างดีที่สุด
“แต่ปรากฏว่า พอคุณหมอพรชัยได้เห็นประวัติการรักษา ก็ได้แต่บอกเราว่า ทุกอย่างมันผิดพลาดไปหมด ไม่ใช่แค่แผนการรักษา แม้แต่ตัวยาหรือโดสยาก็ผิด จากนั้นท่านก็หันมาบอกว่า ‘ทางรักษานั้นมี แต่ก็ต้องใช้เงิน’ พอได้ยินอย่างนั้น ยอมรับตามตรงว่า กลัว…ไม่ได้กลัวเสียเงินนะ แต่เราแค่กลัวเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ เพราะผลอัลตราซาวนด์ล่าสุด นอกจากก้อนใหญ่แล้ว ยังพบว่ามีก้อนเล็กๆ กระจายอยู่ที่เต้านมขวากว่า 30 ก้อน และยังพบฝ้าที่ปอดและกระดูก มะเร็งน่าจะลุกลามไปเยอะแล้ว เราจึงบอกกับคุณหมอไปตรงๆ ว่า เรากลัวเสียเงินเปล่า
“คุณหมอก็ตอบกลับมาอย่างหนักแน่นว่า ถ้าตัวยานี้ใช้ไม่ได้ผล เราจะเห็นกันตั้งแต่ครั้งแรกเลย ฉะนั้น คนไข้จะไม่เสียเงินเรื่อยๆ เปื่อยๆ แน่นอน ถ้าไม่ได้ผล หมอก็จะไม่เลี้ยงไข้เด็ดขาด เบื้องต้นคุณหมอก็ประเมินค่ายามาประมาณ 3 หมื่นบาท หลังจากปรึกษาเพื่อนๆ แล้วก็ตอบตกลงกับคุณหมอไป เพราะเงิน 3 หมื่นบาท สำหรับเราแล้วยังพอจะหาได้”
.
หมอเทวดา ยาวิเศษ
“พอถึงวันนัดให้คีโมครั้งแรก เพื่อนๆ ก็ช่วยกันรวบรวมเงินมาได้ 3 หมื่นบาท แต่ปรากฏว่าพอบิลแรกออกมา นอกจากค่ายาแล้ว ยังมีค่าอื่นๆ จิปาถะ รวมแล้วประมาณ 6 หมื่นบาท จึงต้องให้เพื่อนๆ ช่วยกันหาเงินมาอีก 3 หมื่นบาท วันนั้นกว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลก็ดึกเลย แต่ปรากฏว่าหลังจากให้ยาคีโมครั้งแรกไปเพียง 1 สัปดาห์ ร่างกายของเราก็เริ่มฟื้นตัว ไม่ต้องใช้ออกซิเจนช่วยหายใจ และไม่ต้องพ่นยาขยายหลอดลมอีกเลย กลับมาหายใจได้เองตามปกติ และจากเดิมที่เดินไม่ได้ ยืนไม่ได้ ต้องนั่งไถก้นไปห้องน้ำ ก็เริ่มเดินเกาะขอบตู้ ขอบเตียงได้ จากนั้นก็เดินไปเล่นกับลูกได้ เดินออกไปสูดอากาศข้างนอกได้ ดีใจมาก ถึงขั้นบอกกับเพื่อนๆ ว่า ‘ยาที่คุณหมอให้เหมือนยาวิเศษเลย’ เพื่อนๆ ก็จะถามกลับมาว่า ‘ยาที่ถูกกับโรคควรจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า’
“อีก 3 สัปดาห์ถัดมา เราเริ่มให้คีโมครั้งที่ 2 ตอนนั้นยังต้องพึ่งพาเงินจากเพื่อนๆ อยู่ โดยคุณหมอประเมินมาว่า ต้องให้คีโมอย่างนี้ไปทั้งหมด 6 ครั้ง จึงจะเข้าสู่การผ่าตัดได้ และจากนั้นจึงให้ยามุ่งเป้าต่อ จากการคาดคะเนของคุณหมอ มะเร็งของเราน่าจะไปถึงต่อมน้ำเหลืองแล้ว ซึ่งสามารถนำไปทำเรื่องเบิก ‘ยามุ่งเป้า’ กับทางรัฐบาลได้ตามสิทธิบัตรทอง ฉะนั้น หลังการผ่าตัด ค่ารักษาก็น่าจะลดลง”
.
พิ้งเป็นแม่แพนเตอร์
“หลังจากให้คีโมเข็มที่ 2 ไป จากน้ำหนัก 39 กิโลกรัม ก็ขึ้นมาเป็น 49 กิโลกรัม ตัวอ้วน หน้ากลม แก้มยุ้ย และตอนนั้นเพื่อนๆ ก็เชียร์ให้เราทำช่อง Tiktok เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็งเป็นวิทยาทานให้กับคนทั่วไปที่ยังไม่รู้ว่า มะเร็งเต้านม นอกจากระยะของโรคแล้ว ชนิดของโรค ก็เป็นตัวแปรที่สำคัญในการวางแผนรักษาที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด
“คลิปแรกที่ลงเป็นวิดีโอของลูกชายกำลังเดิน และพิมพ์เนื้อหา ‘รีวิวชีวิตตัวเองในวัย 31 ปี’ ใจความว่า พ่อแม่เสีย ญาติพี่น้องไม่มี โดนโกงเงินไป 6 แสน หมดตัว เลิกกับแฟนตอนตั้งท้อง เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มีแมว 5 ตัว ตรวจเจอมะเร็งตอนลูก 8 เดือน กำลังรักษามะเร็งอยู่ หัวโล้น ผมไม่มีสักเส้น ลูกชอบมาตีหัวเหม่ง ค่ายามะเร็งเข็มละ 55,000 บาท ลูกและเพื่อนคือสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งคลิปนั้นกลายเป็นไวรัล 6 ล้านวิว ภายในคืนเดียว! และมีคนเข้ามาคอมเมนต์เป็นหมื่นคอมเมนต์
“พอเพื่อนๆ รู้ ตื่นเต้นกันมาก ทั้งยังพูดกันสนุกๆ ว่า กว่าฉันจะทำได้ร้อยวิวนี่ก็ใจจะขาดแล้ว แต่นี่แกทำแค่คลิปเดียว 6 ล้านวิว ในคืนเดียว ทำได้ไง (หัวเราะ) จากนั้นเพื่อนๆ ก็เชียร์ให้ลงคลิปต่อ เราก็ทำคลิปมาเรื่อยๆ จนมีคนเข้ามาให้กำลังใจและฟอลโลมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเราก็เริ่ม ‘ไลฟ์สด’ แชร์ประสบการณ์ ซึ่งปรากฏว่านอกจากคอมเมนต์ให้กำลังใจอย่างล้นหลาม ก็มีหลายคนที่กดส่งของขวัญมาให้ด้วย ปรากฏว่า คลิปนั้นเรานำของขวัญไปแลกเป็นเงินมาได้หลายพันบาท
“จากที่เราไม่รู้ว่าจะหาเงินค่ายาเคมีบำบัด 6 หมื่นบาท ทุก 3 สัปดาห์ มาอย่างไร วันนั้นก็เริ่มมีความหวัง และจากนั้นก็ไลฟ์สดทุกวันเลย บางวันติดเลี้ยงลูกตอนกลางวันก็ต้องมาไลฟ์สดดึกๆ จนแฟนๆ ก็เป็นห่วง เข้ามาคอมเมนต์ ไล่ให้ไปนอนได้แล้ว (หัวเราะ) นอกจากนี้ก็ยังรับกดบัตรคอนเสิร์ต ขายสินค้า รีวิวสินค้า ฯลฯ ทำทุกทางเพื่อหาค่ารักษา ทำให้พอคีโมเข็มที่ 3 ก็สามารถหาค่ายาเองได้ โดยไม่ต้องไปรบกวนเพื่อนๆ”
.
สู้ไปให้สุดทาง
“จากเดิมที่วางแผนไว้ว่าต้องให้คีโม 6 ครั้ง จึงจะผ่าตัด แต่พอให้คีโมไป 4 ครั้ง เริ่มหาเงินไม่ทัน และไม่อยากจะนำเงินที่เตรียมไว้ผ่าตัดประมาณแสนกว่าบาทออกมาใช้ จึงปรึกษาคุณหมอว่า ให้คีโม 4 ครั้ง แล้วผ่าตัดเลยได้ไหม คุณหมอก็แจ้งกลับมาว่า หมอก็ไม่เคยทำแพตเทิร์นนี้มาก่อน แต่ถ้าพร้อมจะเสี่ยงไปกับหมอ…ก็มาลองดูกัน
“คุณหมอทำการผ่าตัดแบบสงวนเต้าให้ เนื่องจากก้อนใหญ่ที่เต้านมลดขนาดลงเหลือเพียง 1 เซนติเมตร และด้วยความที่เซลล์มะเร็งกระจายไปแล้ว หากตัดเต้านมออกทั้งหมด เดี๋ยวเซลล์มะเร็งจะไม่มีบ้านอยู่ ก็จะยิ่งแพร่ไปส่วนอื่นๆ ได้ โดยธรรมชาติเซลล์มะเร็งชนิดนี้มักจะชอบแพร่ไปที่สมองซึ่งจะอันตรายมาก จึงตัดสินใจเก็บเต้าไว้ พยายามรักษาให้มะเร็งอยู่ในเต้า ไม่ออกไปเพ่นพ่านที่อวัยวะอื่นๆ พร้อมเลาะต่อมน้ำเหลืองรักแร้ด้านขวาออกทั้งหมด
“และด้วยเงินที่มีอยู่จำกัด ทำให้ต้องข้ามไปหลายขั้นตอน เช่น การสแกนกระดูก หรือการสแกนปอด เพื่อดูการลุกลามของมะเร็ง ฯลฯ และยามุ่งเป้าที่คุณหมอคาดว่าน่าจะเบิกได้ ก็กลับเบิกไม่ได้อย่างที่คิด เพราะเมื่อนำต่อมน้ำเหลืองที่ผ่าตัดออกมาไปส่งตรวจ ปรากฏว่าพบเพียงซากของมะเร็ง เพราะไม่มีเชื้อมะเร็งแล้ว พอเราเอาผลนี้ไปยื่นขอใช้ยากับทางรัฐฯ กลายเป็นว่า ใช้ผลนี้ไม่ได้ เขาไม่นับว่าเราเป็นผู้ป่วยมะเร็งที่แพร่กระจาย
“ตอนนั้นไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี ได้แต่แบกเอกสารทั้งหมดกลับมาหาคุณหมออีกครั้งและปรึกษากับท่านว่า ควรจะทำอย่างไรดี เพราะเราก็อยากได้รับ ‘ยามุ่งเป้า’ เพื่อจะยืดอายุของเราออกไป ขณะที่เงินในบัญชีเหลืออยู่หลักพันบาทที่เตรียมไว้สำหรับค่านมลูกเท่านั้น สุดท้ายคุณหมอก็พยายามคุยกับทางโรงพยาบาลให้เหลือแค่ค่ายามุ่งเป้าและค่าอุปกรณ์การแพทย์ โดยงดเว้นค่าแพทย์ ค่าบริการ ค่าธรรมเนียมจิปาถะทั้งหมด โดยเหลือครั้งละไม่เกิน 2 หมื่นบาท รวมทั้งหมด 18 ครั้ง
“ก่อนจะเริ่มรับยามุ่งเป้านั้น คุณหมอแนะนำให้กลับไปใช้สิทธิบัตรทองเพื่อฉายแสงจากโรงพยาบาลรัฐฯ ก่อน 27 ครั้ง จากนั้นจึงกลับมารับยามุ่งเป้ากับคุณหมอต่อ ปัจจุบันพิ้งรับยามุ่งเป้ามา 16 ครั้งแล้ว แต่ผลตรวจร่างกายพบว่ามะเร็งก็ยังเยอะอยู่ และเหมือนว่ามะเร็งกำลังดื้อยามุ่งเป้าสูตรนี้แล้ว ซึ่งจริงๆ ควรเปลี่ยนสูตรยาไปใช้อีกสูตรหนึ่งที่มีราคาอยู่หลักแสน แต่ด้วยงบที่จำกัด จึงต้องรับยามุ่งเป้าสูตรเดิมนี้ไปให้จบคอร์สก่อน เพราะแม้มะเร็งจะไม่หมดไป อย่างน้อยยาสูตรเดิมนี้ก็ช่วยให้มะเร็งไม่ลุกลามไปไหน”
.
นิยามมะเร็ง
“มะเร็งในมุมมองพิ้ง คงจะหนีคำว่า ‘โชคชะตา’ ไปไม่พ้น เพราะเราไม่รู้ต้นเหตุที่แท้จริงของโรคนี้แน่ชัด ทุกอย่างที่คนเรากำลังกังวล กลัว และระวังกันอยู่ ล้วนเป็นเพียงปัจจัยที่เพิ่มโอกาสเสี่ยงเท่านั้น บางคนดูแลสุขภาพมาทั้งชีวิตกลับเป็นมะเร็งก็มีเยอะ ก็หวังลึกๆ ว่าในอนาคตจะมีใครสักคนที่ค้นพบวัคซีนป้องกันมะเร็งให้ผู้คนได้ เพราะใครที่เคยผ่านการรักษามะเร็งมา คงรู้ว่า มันเหนื่อย… แต่ถึงจะเหนื่อยยังไง พิ้งก็เชียร์ให้ผู้ป่วยทุกคนสู้ สู้ในวันที่ยังมีโอกาสรักษา อย่าปล่อยโอกาสนี้ให้สูญเปล่า
“การที่เรายอมแพ้ต่อโรค หรือโชคชะตา นั่นก็เท่ากับเวลาของเรานับถอยหลังไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราสู้ต่อ ก็ยังมีลุ้นว่าเวลาของเราอาจจะเหลือมากขึ้น ไม่ต่างอะไรกับการซื้อลอตเตอรี่ ถ้าเราไม่ซื้อ เราก็ไม่ถูกแน่นอน แต่ถ้าเราลองซื้อไว้สักใบ โอกาสอาจจะน้อย แต่ก็ยังมีลุ้นว่างวดนี้เราอาจจะเป็นเศรษฐีก็ได้
“ทุกวันนี้พิ้งก็สู้สุดใจเพื่อซื้อเวลาอยู่กับลูกให้ได้มากที่สุด แม้คุณหมอจะวินิจฉัยโดยอ้างอิงจากสถิติผู้ป่วยที่รักษามาว่า เวลาของเรานั้นอาจจะเหลือแค่ 5 ปี เนื่องจากผู้ป่วยมะเร็งชนิดและระยะเดียวกันนี้กว่า 98 เปอร์เซ็นต์ มักมีชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ อยู่ได้ประมาณ 5 ปี แต่ก็มีผู้ป่วยอีกจำนวนหนึ่งที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เกิน 5 ปีขึ้นไป เพียงแต่มีจำนวนไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์
“พิ้งก็ยังดีใจที่อย่างน้อยก็ไม่ใช่ 0 เปอร์เซ็นต์ซะหน่อย ขนาดมะเร็งชนิด HER2 ที่ว่ากันว่าพบได้น้อยในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งอายุน้อย เรายังเป็นหนึ่งในนั้นได้เลย แล้วเราจะเป็นหนึ่งในไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเกิน 5 ปี–ไม่ได้เชียวเหรอ”
.
ความหวังสุดท้าย
“สิ่งเดียวที่หวังในตอนนี้ก็คืออยากจบการรักษาให้เร็วที่สุด เพราะเราไม่อยากเบียดเบียนชีวิตและความสุขของลูกอีกแล้ว คุณภาพที่ควรมีและหลายๆ สิ่งที่เขาควรได้รับ-ได้ทำเหมือนเด็กๆ ในวัยเดียวกันมันหายไป แม้แต่เวลาที่จะได้อยู่กับแม่ หรือความทรงจำดีๆ ก็มีน้อยมาก เรารู้สึกเสียดายเวลาและโอกาสเหล่านั้น
“เพราะตั้งแต่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ประโยคที่ว่า ‘จะปล่อยให้ลูกเกิดมาและอยู่ในสภาพเดียวกับเธอเหรอ ไม่มีพ่อ ไม่มีใคร และต้องมีชีวิตซ้ำรอยเธอในวัยเด็ก’ กลับมาตอกย้ำทิ่มแทงเราไม่หยุด ยิ่งในวันที่แพ้คีโม นอนเป็นผักทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่จะอุ้มลูกก็ยังไม่ไหว เราก็ยิ่งคิดไปไกลว่า หากตายไปตอนนี้ ลูกก็คงจำแม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ เขายังช่วยตัวเองไม่ได้เลย ชีวิตเขาคงต้องลำบากกว่าเราเป็นแน่
“เราจึงอยากจะไปใช้เวลาอยู่กับลูก สร้างความทรงจำระหว่างแม่ลูก และทำทุกๆ ทางที่จะพาชีวิตเขาให้หนีจากคำพูดนี้ให้ได้ ท้ายที่สุดนี้ แม่อยากบอกกับแพนเตอร์ว่า วันนี้แม่สู้อย่างที่สุดจริงๆ แม้มีบ้างที่ท้อ แต่แม่ก็ไม่เคยยอมแพ้เลยสักครั้ง และแม่จะพยายามใช้เวลาอยู่กับหนูให้นานที่สุด คุ้มค่าที่สุด เท่าที่แม่คนนี้จะทำได้ และแม้วันหนึ่งในอนาคตแม่อาจจะไม่ได้อยู่กับลูกในทุกช่วงเวลา แต่ขอให้รู้ว่า แม่คนนี้รักลูกที่สุดและภูมิใจที่สุดที่ได้เกิดมาเป็นแม่ของลูก”
.
ปัจจุบัน นอกจากสถานะคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวสุดสตรอง พิ้งยังครองตำแหน่งอินฟลูเอนเซอร์สู้งานทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นงานรีวิวสินค้า งานโชว์ตัว ขายของออนไลน์ หรือออกรายการต่างๆ ฯลฯ รวมถึงเธอยังซุ่มสร้างสรรค์ผลงานเขียนสำหรับเด็ก ซึ่งมีทั้งหนังสือเพลงและหนังสือนิทาน (เล่มใหม่) ที่กำลังจะวางจำหน่ายเร็วๆ นี้ โดยรายได้ส่วนหนึ่งจะนำมาเป็นทุนการศึกษาให้กับลูกชายและใช้ในการรักษาตัวจากโรคมะเร็ง หากผู้อ่านท่านใดสนใจ สามารถติดตามผลงานของเธอได้ที่ ‘พิ้งเป็นแม่แพนเตอร์’ หรือแอดไลน์สอบถามรายละเอียดได้ที่ @21.49
.