“การก้าวข้ามมะเร็งไม่ใช่เรื่องการต่อสู้เสมอไป
เพราะเมื่อใดที่เราสามารถโอบกอดมะเร็งได้
เราจะพบว่าชีวิตยังคงสวยงามอยู่เหมือนเดิม”
โบว์-ทัศนีย์ พงศ์กิจธนากร อดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะ 2B วัย 50 กะรัต ที่นอกจากการเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนสุดสมาร์ทในบริษัทข้ามชาติชั้นนำแล้ว เธอยังทำหน้าที่เป็นภรรยาและคุณแม่ลูกสองได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องมาตลอดหลายปี การทุ่มเททำทุกอย่างนี้เอง บ่อยครั้งก็ทำให้เธอหลงลืมดูแลตัวเองไป จนในปี 2558 ก็มีสัญญาณเตือนบางอย่างส่งมาถึง
“ปกติโบว์จะเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเป็นประจำทุกปี เพราะเรามีเม็ดเล็กๆ 4-5 เม็ด กระจายอยู่ตามเต้านมทั้งสองข้าง จึงต้องติดตามอาการตามระยะเวลาที่คุณหมอกำหนด แต่ในปี พ.ศ. 2558 ด้วยภารกิจต่างๆ ทำให้เราไปตรวจช้ากว่าที่คุณหมอนัดเกือบ 8 เดือน โดยระหว่างนั้นเราก็สังเกตเห็นความผิดปกติของผิวหนังบริเวณใกล้หัวนมด้านขวาซึ่งมีลักษณะเป็นรอยบุ๋มลงไป พอตรวจก็พบก้อนเนื้อใหม่ขนาดประมาณ 1.5 เซนติเมตร และหมอวินิจฉัยว่ามันคือมะเร็ง”
ซึมเศร้าจนเข้าใจ…
ก่อนหน้าที่เธอจะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งเต้านมนั้น เธอเพิ่งผ่านการบำบัดอาการป่วยโรคซึมเศร้าจนหายดีได้เพียงไม่กี่เดือน รอยยิ้มและเสียงหัวเราะในครอบครัวที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้นไม่นานก็มีอันต้องหยุดลงอีกครั้ง
“ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตแบบรูทีน นอนดึก ตื่นเช้า ออกไปทำงาน รับประทานอาหารซ้ำๆ ที่เราชอบ ไม่ออกกำลังกาย เพราะคิดว่ายังเดินได้ วิ่งได้ จนวันหนึ่งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่เราควบคุมไม่ได้เข้ามาในชีวิต ถูกความเครียดรุมเร้าจนถึงขั้นเสียศูนย์เป็นโรคซึมเศร้า กว่าจะเอาตัวเองออกจากจุดนั้นมาได้ก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งปีเต็ม ยิ่งพอมารู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งซ้ำ มันเหมือนชีวิตเราถูกสึนามิถาโถมเข้าใส่อย่างต่อเนื่องแบบไม่มีหยุด
“มะเร็งเปลี่ยนรอยยิ้มและความสบายใจของคนที่รักเราโดยเฉพาะครอบครัวให้กลายเป็นความทุกข์และความกังวลอีกครั้ง ยอมรับว่าในตอนนั้นแวบหนึ่งก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมาว่า ทำไมถึงต้องเป็นเราด้วยนะ แต่ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นอยู่ไม่กี่นาทีก็หายไป ซึ่งต้องขอบคุณโรคซึมเศร้าที่เข้ามาเป็นเหมือน fast track learning ให้ชีวิตได้เรียนรู้ว่า สิ่งที่น่ากลัวกว่าโรคร้ายหรือความตายก็คือการตายทั้งเป็นจากความคิดของเราเอง
“เพราะที่จริงแล้วมะเร็งก็อยู่ในร่างกายเรามาสักพักหนึ่งแล้ว เพียงแต่เราไม่รู้ และขณะที่เราไม่รู้ เราก็มีความสุขกับชีวิตดี แต่พอเรารู้ว่าเราเป็นมะเร็ง ทำไมเราต้องทุกข์ล่ะ มันเป็นคำถามที่เกิดขึ้นมาในหัวตอนนั้น และนั่นเองทำให้เราได้คำตอบว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้ทุกข์เพราะมะเร็งหรอก แต่เราทุกข์เพราะความคิดของตัวเองต่างหาก”
คำมั่นสัญญาคือพลัง
ขณะที่เธอตั้งสติได้และพร้อมยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเข้าใจ แต่คนรอบข้างโดยเฉพาะลูกๆ ซึ่งอยู่ในวัยเพียง 13-14 ปี กลับจมอยู่กับความทุกข์หนักจากความกลัวที่จะสูญเสีย ‘แม่’ ที่พวกเขารักไป ถึงขั้นแอบไปร้องไห้ที่โรงเรียนอยู่บ่อยครั้ง
“จำได้เลยว่าระหว่างที่รักษาตัวอยู่นั้น เราสังเกตเห็นถึงใบหน้าเรียบเฉยของลูกๆ จากที่เคยยิ้มก็ไม่ค่อยยิ้ม เราจึงเริ่มรู้แล้วว่าพวกเขาคงยังเด็กเกินไปที่จะรับกับสถานการณ์นี้ได้ จึงตัดสินใจเรียกลูกทั้งสองมาคุย ภาพเด็กน้อยใบหน้าหม่นหมอง แววตาเศร้าปนสับสนนั่งอยู่ตรงหน้า เราเข้าไปจับไหล่ จ้องตา แล้วพูดกับพวกเขาว่า “ฟังนะลูก ถึงแม้หม่ามี้จะเป็นมะเร็ง ชีวิตหนูก็จะไม่ขาดอะไร ชีวิตหนูจะดำเนินไปอย่างสวยงามเหมือนเดิมนะลูก หรือบางทีมันอาจจะดีกว่าเดิมก็ได้ หม่ามี้สัญญาจะทำให้ดีที่สุด” แม้ตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร รู้แต่เพียงว่าเราจะใช้เวลาและโอกาสที่มีอยู่ปกป้องดูแลลูกทั้งสองให้ดีที่สุด และนั่นก็เป็นเสมือนคำมั่นสัญญาที่กลายมาเป็นพลังขับเคลื่อนให้เรามีความหวังและเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนขึ้น ใช้โอกาสที่มีอยู่ทบทวน เรียนรู้ แก้ไข เปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิต รู้คุณค่าของการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกาย และการบริหารจิตใจ ทำทุกอย่างเพื่อจะยืดเวลาที่จะอยู่กับลูกๆ ให้นานที่สุด”
‘โชคดี’ ในโรคร้าย
แผนการรักษาของเธอเริ่มต้นขึ้นด้วยการผ่าตัดแบบสงวนเต้านม (Breast Conserving Surgery) และการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองเซนติเนล (Sentinel Lymph Node Dissection) เพื่อวินิจฉัยการกระจายของมะเร็งมาที่ต่อมน้ำเหลือง ซึ่งพบว่ามีการเดินทางของมะเร็งไปที่ต่อมน้ำเหลืองบางส่วน โดยแพทย์วินิจฉัยว่า ชิ้นเนื้อที่ตัดออกมานั้นมีอัตราการขยายตัวค่อนข้างสูงถึง 40-60 เปอร์เซ็นต์ และสามารถลุกลามจากขั้น 2B ไปสู่ขั้นที่ 4 ได้ หากเธอมาตรวจร่างกายช้ากว่านั้นสัก 6 เดือน
“โชคดีมากที่ยังทันเวลา แต่นั่นก็ทำให้หลังจากผ่าตัดเสร็จสิ้น โบว์ต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาเคมีบำบัด 8 เข็ม ทุกๆ 3 สัปดาห์ ก่อนจะฉายแสงต่ออีกกว่า 20 ครั้ง เพราะถือเป็นเคสที่มะเร็งมีโอกาสลุกลามอย่างรวดเร็ว จำได้ว่าสัปดาห์แรกหลังรับเคมีบำบัด อาการแย่ลงมาก ทั้งปวดท้อง อ่อนเพลีย และกินอะไรก็ไม่ได้ ถึงขั้นต้องมานอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ทั้งหมดนี้ก็ทำให้เรารู้ซึ้งถึงผลลัพธ์ของความไม่สมดุลหลายๆ อย่างในชีวิต และเชื่อเสมอว่ามะเร็งไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ถ้าใครเป็น จงรู้ไว้เถอะว่า เราได้สะสมนิสัยที่ไม่ถูกต้องไว้มากมาย และมันเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า เราต้องเปลี่ยนวิถีและวิธีการใช้ชีวิตเสียใหม่
“ฉะนั้น การป่วยเป็นมะเร็งสำหรับโบว์แล้ว นอกจากเป็นข่าวร้ายและเรื่องร้ายแรงที่สุดในชีวิต แต่ยังเป็นเสียงเตือนจากสวรรค์ที่มาพร้อมโอกาส…โอกาสที่ได้ทบทวน เรียนรู้ แก้ไข เปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิต รู้คุณค่าของการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกาย และการบริหารจิตใจ ชีวิตที่ถูกต้องและมีคุณภาพของโบว์จึงเริ่มต้นหลังจากการป่วยเป็นมะเร็ง”
แปลง ‘มะเร็ง’ เป็นแรงบันดาลใจ
ปัจจุบัน นอกจากการทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษามืออาชีพ ภรรยาที่น่ารัก และคุณแม่สุดสตรองของลูกๆ ทั้งสองแล้ว เธอไม่ลืมที่จะแบ่งเวลาส่วนหนึ่งมาดูแลตัวเองและทำงานอดิเรกที่เธอรักอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นร้องเพลง เล่นเปียโน โยคะ เล่นเทนนิส ตีแบด เต้นรำ หรือแม้แต่ ‘ไอซ์ฟิกเกอร์สเกต’ หรือสเกตลีลาบนลานน้ำแข็งที่เป็นเหมือนความฝันในวัยเยาว์ที่เธอไม่เคยลืม
“ยอมรับว่าช่วงที่รักษาตัวอยู่นั้นท้อมากๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราผ่านมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็คือการคิดถึงวันที่จะหายจากโรค และโอกาสที่จะได้กลับมาทำสิ่งต่างๆ ที่ชีวิตนี้อยากทำและยังไม่ได้ทำ หนึ่งในนั้นก็คือการแต่งชุดสวยๆ เต้นรำอยู่บนลานน้ำแข็ง (ยิ้ม) หลังร่างกายกลับมาแข็งแรงดี โบว์ตัดสินใจไปสมัครเรียนไอซ์ฟิกเกอร์สเกตทันที
“จำได้เลยช่วงแรกที่เรียนรู้สึกกลัวมาก กลัวลื่นล้ม พอเรายิ่งกลัว ร่างกายก็ยิ่งเกร็ง พอเกร็ง มันก็ไม่ลื่นไหล สุดท้ายก็ล้มจริงๆ ล้มแล้วล้มอีก และทุกครั้งที่ล้ม ครูฝึกก็จะยื่นมือมาช่วยพยุงให้ลุกขึ้นทุกครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่งเราก็ล้มอีก แต่ครั้งนี้เราบอกครูฝึกว่า ‘ไม่เป็นไร วันนี้เราจะขอลุกขึ้นเอง’ จากนั้นก็พยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล แต่พอเรายืนขึ้นได้เท่านั้น เราก็ค้นพบว่า จริงๆ แล้วการล้มมันไม่ได้น่ากลัวเท่ากับตอนที่กำลังจะลุกขึ้น ไม่ต่างอะไรกับปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆ นานาที่เรากำลังเผชิญอยู่ในชีวิต ถ้าเรายังกลัวแล้วไม่ยอมทำอะไรเลย ชีวิตก็ไม่มีวันเดินไปข้างหน้าได้ ฉะนั้น เราต้องสลัดความกลัวออกไป เผชิญหน้าและยอมรับความจริง เชื่อเถอะ ไม่ว่าเราจะล้มสักกี่ครั้ง เราก็จะลุกขึ้นเองได้ในที่สุด
“มุมมองและวิธีคิดเป็นสิ่งสำคัญ เราจะทุกข์มากหรือน้อย หรือข้ามผ่านปัญหาอุปสรรคไปได้ยากหรือง่ายก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ โบว์คงไม่กล้าบอกให้ใครที่กำลังเผชิญโรคนี้อยู่ว่า อย่าเครียด อย่าเศร้า แต่ในขณะที่เราเครียด เราเศร้า อยากให้ลองมองหาสิ่งดีๆ ที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา และคิดไว้เสมอว่าเรายังมีเวลาและโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆ อีกมากมาย เพราะเมื่อประตูบานหนึ่งปิดลง เชื่อเถอะว่า มันจะมีประตูบานอื่นที่รอให้เราเปิดอยู่เสมอ อย่ามัวทุกข์หรือยึดติดกับประตูบานเก่าอยู่เลย เอาเวลานี้ไปเปิดประตูบานใหม่ดีกว่า”
สิ่งสำคัญของชีวิต
แม้โรคจะสงบลงมากว่า 5 ปีแล้ว แต่เธอก็ไม่เคยนิ่งนอนใจ ยังคงเฝ้าระวังอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงดูแลสุขภาพตัวเองเป็นประจำ โดยการสร้างสมดุลชีวิตผ่านหลักการง่ายๆ 4 ข้อ คือ Good Food รับประทานอาหารหลากหลายให้ครบ 5 หมู่, Good Rest พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ, Good Exercise ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และ Good Mind ทำจิตใจให้แจ่มใสให้ได้มากที่สุด
“เราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้กับชาติหน้าอะไรจะมาถึงก่อนกัน ฉะนั้น ทำทุกนาทีที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า และมองให้ขาดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตนี้คืออะไร คำตอบของคนส่วนใหญ่อาจจะเป็นเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง การศึกษาดี งานดี มีรถแพงๆ บ้านหลังใหญ่ๆ ฯลฯ เวลาในชีวิตจึงหมดไปกับการแข่งขันเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ เพื่อจะได้มีงานดีๆ มีเงินเดือนสูงๆ คอยแต่ไขว่คว้าหาความสมบูรณ์แบบให้ชีวิต จนหลงลืมเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตไป ก็คือสุขภาพ โบว์เองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น จนเมื่อมะเร็งเข้ามาในชีวิต เราจึงได้เห็นถึงความสวยงามของความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต เราไม่จำเป็นต้องมีทุกอย่างหรือเพอร์เฟกต์ทุกเรื่อง ก็มีความสุขได้ และถึงแม้เราจะเป็นมะเร็ง ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสนุกกับการใช้ชีวิตไม่ได้ ยิ่งถ้าเราเป็นมะเร็งแล้วมัวแต่นั่งเฉยๆ เอาแต่เพ่งมะเร็ง รับรองทุกข์แน่นอน ฉะนั้น ไปหากิจกรรมที่ชอบทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจให้ลืมความทุกข์ใจ ความเจ็บปวด ความเจ็บป่วยดีกว่า
“มะเร็งก็เป็นแค่บททดสอบหนึ่งของชีวิตไม่ต่างจากปัญหาหรืออุปสรรค์อื่นๆ ที่ต้องก้าวผ่านไปให้ได้ และการก้าวข้ามมะเร็งก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้เสมอไป เมื่อเราโอบกอดมะเร็งด้วยความรักและทัศนคติที่ดี ย่อมทำให้ทุกๆ นาทีผ่านไปโดยไม่ทุกข์มากเกินไป ตัวเราเองก็จะค่อยๆ ดีขึ้นทุกวัน ดังประโยคที่ว่า Accept what is, let go of what was, and have faith in what will be. จงยอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่ จงปล่อยวางในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว และมีศรัทธาในสิ่งที่กำลังจะมาถึง
“ถ้าถามว่า ทุกวันนี้โบว์กลัวมะเร็งจะกลับมาไหม? คำตอบก็คือกลัว (ยิ้ม) เพียงแต่ความกลัวของเราออกมาในรูปของการตระหนักรู้ ไม่เอามันมาบั่นทอนความสุขในปัจจุบัน เช่น กลัวว่ามะเร็งจะกลับมาก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี ไม่ใช่เอาแต่นั่งอธิษฐานขออย่างเดียว เพราะชีวิตเรานั้นประกอบไปด้วย ‘สิ่งที่ควบคุมได้’ และ ‘สิ่งที่ควบคุมไม่ได้’ เราทำในสิ่งที่เราควบคุมได้ให้ดีที่สุด ที่เหลือก็ปล่อยวาง อยู่กับปัจจุบัน มีความสุขกับทุกขณะ เท่านี้เพียงพอแล้ว
“เพราะ Life is always beautiful ชีวิตสวยงามเสมอ อยู่ที่มุมมองของเรา”
“สุดท้ายนี้ โบว์ขอขอบพระคุณครอบครัว กัลยาณมิตร
ทีมแพทย์ พยาบาล บริษัท ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน
และอีกหลายท่าน ที่มอบโอกาสและเป็นกำลังใจให้โบว์เสมอมานะคะ”
#LifeGoesOn
#เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป
#มะเร็งเต้านมรู้เร็วรักษาเร็วก็หายได้
#ชมรมมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย
#TBCC