ศิระ อมรลาภ : โค้ชชีวิตที่ชื่อว่า ‘มะเร็ง’

“มะเร็งไม่ต่างอะไรจากไลฟ์โค้ช
ที่ไม่ต้องพูดอะไรกับเราเลย 
แต่กลับเปลี่ยนมุมมอง ความคิด
กระทั่งเปลี่ยนชีวิตเราได้แบบทันทีทันใด” 

บี-ศิระ อมรลาภ ผู้บริหารฝ่ายการตลาดคนเก่งของบริษัทเครื่องสำอางชั้นนำแห่งหนึ่ง คุณแม่ลูกสองวัย 40 กะรัต ที่กำลังอยู่ระหว่างการรักษามะเร็งเต้านมชนิด HER2 ระยะลุกลามไปต่อมน้ำเหลือง และนี่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เธอลุกขึ้นมาก่อตั้งเพจ ‘มะเร็งคิดบวก by Beesira’ พื้นที่ที่เธอใช้บันทึกการเดินทางของชีวิตระหว่างที่รักษามะเร็งเต้านม และขณะเดียวกันก็แบ่งปันแนวคิดเชิงบวกและส่งต่อกำลังใจไปยังผู้ป่วยมะเร็งโดยทั่วไป  

“หากไลฟ์โค้ช (Life Coach) หรือโค้ชชีวิต หมายถึงผู้ที่เข้ามาช่วยพัฒนาเรา ปรับมุมมอง เปลี่ยนวิถี ไกด์แนวทางเราไปสู่ความสุข-สำเร็จในชีวิต มะเร็งก็ไม่ได้ต่างจากไลฟ์โค้ชเลยนะ (หัวเราะ) เพราะตั้งแต่มะเร็งเข้ามา กระบวนการคิดของเราก็เปลี่ยนทุกอย่าง กระทั่งพฤติกรรมก็ยังเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้อย่างทันทีทันใด และหากเทียบกันจริงๆ เราเชื่อว่าไม่มีไลฟ์โค้ชคนไหนในโลกนี้เก่งเท่ามะเร็งอีกแล้ว เพราะทันทีที่มะเร็งเข้ามา เราก็สามารถเปลี่ยนตัวเองได้ภายใน 1 วัน โดยที่มะเร็งไม่ต้องพูดอะไรกับเราเลยสักคำ”

ชีวิตเสพติดความสำเร็จ

“ชีวิตที่ผ่านมา เราถือเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมาทุกช่วงของชีวิต ตั้งแต่สมัยเรียน อยากเรียนอะไรก็ได้เรียน อยากเข้ามหาวิทยาลัยไหนก็ได้เข้า กระทั่งจบการศึกษาระดับปริญญาโทที่อังกฤษ เราก็กลับมาเมืองไทยพร้อมเป้าหมายที่อยากจะทำงานด้านมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งก็ได้ทำและประสบความสำเร็จในสายงานอย่างรวดเร็ว เราได้รับการโปรโมตให้เป็นแบรนด์เมเนเจอร์ตั้งแต่อายุไม่ถึง 30 ปี และพออายุ 30 ต้นๆ ก็ได้ขึ้นเป็นผู้บริหารการตลาดอย่างที่หวัง

“ชีวิตที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แน่นอนว่ามันต้องแลกมาด้วยการทำงานที่หนักหน่วงกว่าคนอื่นอย่างปฏิเสธไม่ได้ เราทุ่มเทชีวิตกับการทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน ยิ่งสมัยที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ เลิกงานแล้วก็ยังหอบงานกลับมาทำที่บ้านต่อ นอนดึกเป็นกิจวัตร เรียกว่าถวายชีวิตให้กับงาน

“ไม่ผิดหรอก หากจะมองว่าเราเสพติดความสำเร็จ เพราะพอเราทำงานหนักแล้วประสบความสำเร็จ เราก็ยิ่งทำงานหนักยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จนหลงลืมที่จะดูแลตัวเอง ทั้งเรื่องอาหารการกินหรือแม้แต่การออกกำลังกาย ซึ่งเรามักจะใช้ ‘งาน’ เป็นข้ออ้างเสมอที่จะไม่ทำ ยิ่งพอมีครอบครัวและลูกๆ เราก็ยิ่งห่างไกลจากการดูแลตัวเองออกไปเรื่อยๆ และนี่ก็อาจจะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เราเป็นมะเร็ง”

เมื่อมะเร็งเข้ามาในชีวิต

“หลังคลอดลูกสาวคนที่สอง เราก็ตั้งใจแล้วว่าเราจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ เหมือนกับลูกสาวคนแรกซึ่งเราให้นมจนถึง 2 ขวบ ย้อนกลับไปในช่วงที่เลี้ยงลูกสาวคนแรกนั้น อาการที่พบบ่อยๆ เลยก็คือภาวะท่อน้ำนมอุดตัน ซึ่งนมจะเป็นไต เป็นก้อน วิธีแก้ก็คือนวดคลึงเต้าเบาๆ สักพัก อาการก็จะดีขึ้น แต่หากไม่หายก็แค่ไปหาคุณหมอ ซึ่งคุณหมอก็จะใช้เข็มฉีดยาสะกิดเปิดบริเวณที่อุดตันก็จะหายดี

“พอมาช่วงที่เลี้ยงลูกสาวคนที่สอง อาการท่อน้ำนมอุดตันก็เกิดขึ้นเหมือนเคย แต่ที่แปลกออกไปคือแม้จะนวดคลึงเท่าไร ก้อนก็ยังไม่หายไปสักที จนผ่านไปเป็นเดือน เราจึงตัดสินใจไปโรงพยาบาล ตอนนั้นคุณหมอก็ทักว่า ภาวะก้อนนี้สามารถเกิดได้กับคุณแม่ในช่วงให้นม แต่ด้วยความไม่สบายใจจึงขอให้คุณหมอตรวจดูให้แน่ชัดอีกที

“คุณหมอจึงส่งไปแมมโมแกรม อัลตราซาวนด์ พอผลออกมาเท่านั้นแหละ คุณหมอก็พูดมาประโยคหนึ่งว่า ดูแล้วไม่ค่อยดีเท่าไรนะ วันนั้นคุณหมอจึงขอเจาะชิ้นเนื้อและต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ไปตรวจพร้อมกันเลย จากนั้นคุณหมอก็นัดฟังผลอีก 5 วันต่อมา  

“เชื่อไหมว่า 5 วันนั้นคือ 5 วันที่บีบหัวใจเรามาก เราเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งเต้านม จนเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองก็น่าจะเป็นแล้วละ เพราะเราเห็นฟิล์มของก้อนเนื้อจากผลอัลตราซาวนด์และแมมโมแกรม อีกทั้งในครอบครัวเราก็มีประวัติการเป็นมะเร็งเต้านม ตั้งแต่คุณพ่อที่เสียชีวิตด้วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และคุณอาก็เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม ทำให้เราเริ่มเตรียมใจแล้วว่า คงใช่แล้วละ! และพยายามบอกตัวเองว่า ถ้าเป็น…ก็แค่รักษา

“กระทั่งถึงวันฟังผล ก็เป็นไปตามที่คาด คุณหมอแจ้งว่า ก้อนเนื้อนั้นเป็นเนื้อร้ายชนิด HER2 และเชื้อมะเร็งได้ลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองแล้ว เชื่อไหมว่าในใจเราคิดถึงแต่หน้าลูกสาวทั้งสองคน และช่วงนั้นลูกสาวคนเล็กก็เพิ่ง 9 เดือนเอง ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากห้องคุณหมอได้ ก็ปล่อยโฮ…ทันที จากที่คิดว่าตัวเองเตรียมใจมาแล้ว แต่มันก็ยังไม่พอ”

เสาะหาทางรอด

“ครั้งนั้นถือเป็นการร้องไห้หนักที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง แต่ร้องอยู่แค่ชั่วโมงเดียว เราก็พยายามเรียกสติให้กลับมา เพราะลึกๆ เรารู้ว่ามันย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้ว เมื่อเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่ทำได้ก็คือเดินหน้าต่อ หาทางรักษาให้ดีที่สุด

“เราเริ่มรีเสิร์ซหาหมอมะเร็งเต้านมที่เก่งๆ ในประเทศไทยเลยว่ามีใครบ้าง และแต่ละท่านอยู่โรงพยาบาลอะไร ออกตรวจที่ไหน จากนั้นก็เริ่มโทรนัดหมายเพื่อเข้าพบคุณหมอแต่ละท่าน โดยในสัปดาห์นั้นเรามีโอกาสได้คุยกับคุณหมอทั้งหมด 8 ท่าน

“บางคนก็อาจจะสงสัย ทำไมต้องหาหมอเยอะขนาดนั้น เหตุผลก็คือเราแค่อยากหาแนวทางการรักษาที่เหมาะกับเราที่สุดเท่านั้นเอง ซึ่งโชคดีมากที่ส่วนใหญ่แนวทางการรักษาจากคุณหมอทั้ง 8 ท่านไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้เรามั่นใจมากขึ้น และสุดท้ายเราก็เลือกรักษากับคุณหมอที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ด้วยเหตุผลว่าสามารถดำเนินการรักษาได้เร็วที่สุด ไม่ต้องรอคิวนาน เพราะมะเร็งยิ่งรักษาได้เร็วเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสหายได้มากขึ้นเท่านั้น”

มูลเหตุแห่งมะเร็ง

“หลังจากรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง จำได้ว่าวันนั้นเราก็กลับมานั่งทบทวนว่า ทำไมตัวเองถึงเป็นมะเร็ง? เดิมทีแล้วเราเข้าใจว่า เราคงเป็นมะเร็งจากพันธุกรรม เนื่องจากมีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็ง อีกทั้งเรายังถูกจัดอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งอายุน้อย (อายุน้อยกว่า 45 ปี) ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักมาจากพันธุกรรม นั่นเองที่ทำให้เราตัดสินใจที่จะตรวจยีนมะเร็ง (Genetic Cancer Screening) เพื่อให้รู้แน่ชัด เพราะหากเป็นมะเร็งพันธุกรรมนั้นย่อมมีผลต่อกระบวนการรักษา เช่น การผ่าตัดก็อาจจะต้องผ่าตัดออกทั้งเต้า และอาจจะต้องผ่าตัดมดลูก รังไข่ร่วมด้วย เพื่อลดความเสี่ยงการกลับมาเป็นซ้ำในอวัยวะดังกล่าว 

“แต่หลังจากตรวจแล้ว ผลปรากฏว่าเราไม่ได้เป็นมะเร็งพันธุกรรม นั่นหมายความว่ามะเร็งครั้งนี้ก็มาจาก ‘พฤติกรรม’ เราเองนี่แหละ และจากการวิเคราะห์แล้วก็น่าจะมาจาก 3 พฤติกรรมซ้ำๆ ซากๆ เช่น การไม่ออกกำลังกาย การกินอาหารที่ไม่ถูกโภชนาการ และสุดท้ายก็คือ ‘ความเครียด’ ที่อาจจะสะสมมาโดยไม่รู้ตัว แม้พื้นฐานแล้วเราเป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง มองโลกบวก และคิดเสมอว่า ตัวเองรู้จักแยกแยะและปล่อยวางเวลางานและชีวิตส่วนตัวได้ดี แต่ต้องยอมรับว่า กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของชีวิตเรานั้นอยู่กับงานเป็นหลัก จึงหลีกเลี่ยงความเครียดแทบไม่ได้เลย” 

แผนการรักษา

“หลังผลชิ้นเนื้อเจาะจงมาว่า เราเป็นมะเร็งชนิด HER2 ระยะลุกลามไปต่อมน้ำเหลืองแล้ว กอปรกับขนาดก้อนเนื้อร้ายกว่า 3 เซนติเมตร ซึ่งถือเป็นระยะวิกฤต หากผ่าตัดก่อน ก็ต้องมาเสียเวลาพักฟื้นอีกเป็นเดือนกว่าจะให้เคมีบำบัดได้ นั่นอาจจะเป็นการเปิดช่องให้มะเร็งมีโอกาสลุกลามได้ เหตุนี้เองคุณหมอจึงตัดสินใจให้ยาเคมีบำบัดทั้งหมด 8 เข็ม เป็นอันดับแรก 

“โดยการให้ยาเคมีบำบัดแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ 4 เข็มแรกจะเป็นการผสมผสานสูตรยาเคมีบำบัดกับยามุ่งเป้า ซึ่งข้อดีของยามุ่งเป้าก็คือทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็ง แม้จะมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง เช่น ผมร่วง ท้องเสีย ลิ้นไม่รับรส ไม่มีแรง ฯลฯ แต่เราก็ยังพอรับมือไหว แต่ก็ไม่วายเกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อช่วงก่อนให้เคมีบำบัดเข็มที่ 4 เพียง 1 วัน เราดันพบว่าตัวเองติดโควิด ตอนนั้นเครียดมาก เพราะไม่อยากเลื่อนการรักษาจึงปรึกษาคุณหมอ สุดท้ายคุณหมอจึงฉีดยาแอนติบอดีโควิดให้ นั่นทำให้เคมีบำบัดเข็มที่ 4 ไม่ถูกเลื่อนออกไป

“หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนสูตรยาในเข็มที่ 5-8 โดยจะเป็นการให้เคมีบำบัดล้วนๆ นั่นถือเป็นช่วงหินที่สุดในการรักษามะเร็งครั้งนี้เลยก็ว่าได้ ด้วยสูตรยาที่แรงขึ้นและร่างกายเราก็เริ่มรับไม่ไหว จากที่พอเดินได้ นั่งได้ พอผ่านเข็มที่ 5 ไปแค่หนึ่งสัปดาห์ เรากลายเป็นคนป่วยที่ต้องนอนนิ่งๆ บนเตียงทั้งวัน เพราะเบื่ออาหารขั้นสุด ท้องเสีย ไม่มีแรง ปวดกระดูกทั้งตัว แค่จะอุ้มลูกก็ไม่ไหว มีครั้งหนึ่งที่อุ้มลูกแล้วตกบันไดเพราะหน้ามืด โชคดีที่ลูกไม่เป็นไร แต่ตอนนั้นเองที่เราเริ่มมีความคิดว่า ไม่อยากรักษาต่ออีกแล้ว ท้อหนักมาก จึงถามคุณหมอไปตรงๆ ว่า ถ้าเราไม่ให้เคมีบำบัดครบ 8 ครั้งได้ไหม แต่คุณหมอก็พยายามให้กำลังใจ ‘ทำได้…ไปต่อ!!!’ เราจึงฮึดสู้อีกครั้ง”

กำลังใจ…ยาสำคัญ

“เชื่อว่าผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในระหว่างการให้เคมีบำบัดนั้นต้องพบกับภาวะนี้กันเกือบทุกคน ท้อ หมดหวัง ไม่อยากไปต่อ ฯลฯ แต่เราอยากบอกเหลือเกินว่า ร่างกายคนเรานั้นมหัศจรรย์มาก เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายก็จะเริ่มฟื้นฟูและดีขึ้นเอง และรอบของการให้ยาเคมีบำบัดทุกๆ 3 สัปดาห์นั้น ก็มาจากการคิดค้นและศึกษามาแล้วว่า ร่างกายของคนเราส่วนใหญ่สามารถฟื้นฟูขึ้นมาเพื่อรับมือกับยาเคมีบำบัดได้ ฉะนั้น แค่ทำตามคุณหมอบอก ไม่ว่าจะเป็นการกิน การนอน การออกกำลังกาย ฯลฯ ทำทุกอย่างให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่ร่างกายเราไหว เดี๋ยวเราก็จะผ่านมันไปได้

“สำคัญที่สุดก็คือ อย่าฝากความหวังไว้กับยา การรักษา หรือคุณหมออย่างเดียว ตัวเราเองนั้นก็ต้องช่วยเหลือตัวเองด้วย มะเร็งขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าเป็นโรคที่ลุกลามเร็ว เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็ง ตั้งสติให้เร็ว เพราะการรักษาที่ล่าช้าออกไปทุกๆ นาที ล้วนมีผลกับตัวโรคและการลุกลาม จาก 2 อาจจะไป 3 อย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าจะยิ่งเพิ่มจำนวนเข็มของเคมีบำบัดที่เราต้องได้รับ ฉะนั้น เมื่อรู้แล้ว ตั้งสติให้เร็ว เข้าสู่กระบวนการรักษาให้เร็วที่สุด” 

โชคดีในโชคร้าย

“ด้วยความพยายามที่จะพาตัวเองผ่านช่วงเคมีบำบัดไปให้เร็วที่สุด เราพยายามทำทุกวิถีทาง ทั้งออกกำลังกาย นอนหลับให้เพียงพอ และมุ่งมั่นลดแป้งและเน้นกินโปรตีนทุกอย่างเพื่อให้ค่าเลือดผ่านได้ทุกครั้ง จนน้ำหนักตัวพุ่งทะยานขึ้นเหมือนคนท้องเลย (หัวเราะ) เคมีบำบัด 8 เข็ม ใช้เวลากว่า 6 เดือน น้ำหนักพุ่งขึ้นมาเกือบ 8 กิโลกรัม จนมีแต่คนทักว่า นี่คือผู้ป่วยมะเร็งจริงๆ ใช่ไหม? เพราะร่างกายเปล่งปลั่งมาก

“พอจบกระบวนการให้เคมีบำบัด 8 เข็ม ก้อนเนื้อร้ายจาก 3 เซนติเมตร ลดขนาดลงเหลือไม่ถึง 1 เซนติเมตร แถมยังตรวจพบว่าต่อมน้ำเหลืองที่เคยมีเชื้อมะเร็ง ตอนนั้นไม่หลงเหลือเชื้อมะเร็งอีกแล้ว ทำให้เราสามารถผ่าตัดก้อนเนื้อแบบสงวนเต้าได้ และยังไม่ต้องเลาะต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้อีกด้วย 

“ต้องขอบคุณเคมีบำบัด ขอบคุณคุณหมอที่วางแผนการรักษาได้อย่างเฉียบขาด ทำให้เราไม่ต้องผ่าตัดเต้านมทิ้งทั้งเต้า ที่สำคัญคือขอบคุณตัวเองที่อดทนฝ่าฟันเคมีบำบัดจนจบทั้ง 8 เข็ม มาได้ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ ส่วนหนึ่งก็ต้องยกความดีให้กับการวิปัสสนา

“เดิมทีเราเป็นคนที่สนใจเรื่องธรรมะและการวิปัสสนามาตั้งแต่เด็ก กระทั่งมาเรียนมหาวิทยาลัยและเข้าทำงาน ชีวิตก็เริ่มห่างจากการวิปัสสนามาเรื่อยๆ แม้จะบอกตัวเองมาตลอดว่าอยากไปวิปัสสนาสักครั้ง แต่ไม่เคยทำได้ เพราะมีข้ออ้างมากมาย จนวันที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง วิปัสสนากลายเป็นสิ่งหนึ่งที่แวบเข้ามาในหัวและเราอยากทำมากที่สุด

“ก่อนจะให้เคมีเข็มที่ 5 เราจึงหาโอกาสไปวิปัสสนา ณ ศูนย์วิปัสสนายุวพุทธ เขมรังสี (ศูนย์ 4) ซึ่งนั่นเองที่ทำให้เราเข้าใจถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน เช่นเดียวกับความเจ็บปวด เดี๋ยวมันก็ผ่านไป การวิปัสสนาเปลี่ยนเราจากที่เคยเป็นผู้ทุกข์กลายเป็นผู้ที่มองเห็นทุกข์ของตัวเอง และนี่คือเหตุผลที่ทำให้เราผ่านเคมีบำบัดเข็มที่ 5-8 มาได้แบบไม่ยากเย็นนัก”

อยู่กับปัจจุบัน 

“หลังจากการผ่าตัดผ่านไปก็เข้าสู่กระบวนการฉายแสงต่ออีก 20 ครั้ง พร้อมๆ กับการให้ยามุ่งเป้าต่อเนื่องทุกๆ เดือนต่อไปอีก 1 ปีเต็ม ซึ่งจะเป็นการค่อยๆ ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อบริเวณหน้าแข้ง โดยใช้เวลาเพียง 10-15 นาที แถมผลข้างเคียงแทบไม่มีเลย ทำให้ทุกวันนี้เราสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เลี้ยงลูกได้เหมือนเดิม ทำงานได้เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือวิถีชีวิต เรากลายเป็นคนใหม่ที่รู้จักเลือกกินอาหารมากขึ้น ออกกำลังกายทุกวัน และปล่อยวางงานได้มากขึ้น เพราะมะเร็งนี่แหละที่มาเตือนสติ มะเร็งเป็นเสียงเตือนที่ดังมาก และเราเชื่อฟังอย่างนอบน้อมที่สุด 

“ลึกๆ ก็ต้องขอบคุณมะเร็งที่เข้ามาเปลี่ยนอะไรหลายอย่าง ทั้งวิถีชีวิต ความคิด และมุมมองต่อสิ่งต่างๆ หรือแม้กระทั่งความสุข จากเมื่อก่อนความสุขของเรามักจะผูกติดอยู่กับวัตถุ เงินทอง ตำแหน่ง ความสำเร็จ ฯลฯ เราปรุงแต่งและตั้งเงื่อนไขกับความสุขเต็มไปหมด ฉันต้องมีอันนั้นจึงจะสุข ฉันต้องเป็นอย่างนี้จึงจะสุข ฉันต้องได้อย่างนั้นจึงจะสุข ทำให้เราสุขยาก แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่อีกแล้ว ความสุขของเราง่ายมาก แค่ร่างกายแข็งแรงและได้อยู่กับคนที่เรารัก ได้เห็นรอยยิ้มของลูกๆ — แค่นี้ก็มีความสุขที่สุดแล้ว

“มะเร็งสอนให้เรารู้ซึ้งว่า ทุกวันที่ยังมีลมหายใจนั้นมีคุณค่าเพียงใด ทำให้เราไม่ประมาทในการใช้ชีวิต เราทำทุกวันให้ดีที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียดายในภายหลัง ไม่ต้องมานั่งพูดพร่ำว่า รู้งี้ ฉันจะ… เพราะประโยคนี้มันเคยดังก้องในหัวเราในวันแรกที่เรารู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง รู้งี้ ฉันออกกำลังกายดีกว่า รู้งี้ กินอาหารดีๆ ดีกว่า ฯลฯ เราไม่อยากกลับไปพูดกับตัวเองอย่างนั้นอีกแล้ว”

ฝากถึง ‘คุณแม่’ ทุกคน

“โดยปกติแล้ว เราเป็นคนที่ตรวจร่างกายประจำปีทุกปี ตรวจอย่างละเอียดทุกอย่าง รวมถึงการแมมโมแกรม อัลตราซาวนด์ แต่รอบก่อนที่จะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็งนั้น เราเพิ่งคลอดลูกสาวคนเล็กมาไม่กี่วัน ก็มีนัดตรวจสุขภาพประจำปีเหมือนเคย ซึ่งพีกมากเมื่อพยาบาลบอกว่า ไม่ต้องตรวจแมมโมแกรม อัลตราซาวนด์ก็ได้ เพราะผลที่ออกมาอาจจะไม่ชัดเจน เนื่องจากมีน้ำนมอยู่ในนั้น เราก็ดันเชื่อ ข้ามการตรวจเต้านมในปีนั้นไป

“กระทั่งมารู้ตัวว่าเป็นมะเร็งและได้คุยกับคุณหมอที่รักษา ท่านก็บอกว่า คุณหมอทุกคนสามารถอ่านค่าแมมโมแกรม อัลตราซาวนด์ได้แม้ในเต้านมนั้นจะเต็มไปด้วยน้ำนม พอนึกย้อนกลับไปก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าวันนั้นเราไม่ข้ามการตรวจเต้านม เราอาจจะเจอมะเร็งในระยะเริ่มต้น หรืออย่างน้อยก็อาจจะพบร่องรอยโรคที่คุณหมออาจจะแจ้งให้เราคอยเฝ้าระวังสังเกตตัวเองไว้ และอาจจะยังไม่กลายเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะ 2-3 อย่างทุกวันนี้ 

“เราจึงอยากจะบอกกับผู้หญิงทุกคน โดยเฉพาะมนุษย์แม่ทั้งหลายว่า อย่าละเลยที่ตรวจเต้านมของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจด้วยแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ประจำปี เพราะนั่นคือการเฝ้าระวังมะเร็งเต้านมที่ดีที่สุด ยิ่งรู้เร็ว รักษาเร็ว โอกาสที่จะรอดชีวิตก็มีมากขึ้นเท่านั้น”    

#มะเร็งเต้านมรู้เร็วรักษาเร็วก็หายได้
#เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป
#TBCCLifegoeson
#ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย

แชร์ไปยัง
Scroll to Top