รัตนวดี กิตติกูลไพศาล : ‘มะเร็ง’ ขับเคลื่อนเวอร์ชันชีวิต

คุณออย-รัตนวดี กิตติกูลไพศาล
ในวันที่ให้คีโมครั้งแรก

“มะเร็งไม่ได้เข้ามาเปลี่ยน ‘เรา’
เรายังคงเป็น ‘เรา’ คนเดิม
แต่เป็น ‘เรา’ ในเวอร์ชันที่ดีขึ้น
เราดูแลตัวเองดีขึ้น เรารักตัวเองมากขึ้น
และที่สำคัญคือเรามีความสุขกับอะไรง่ายขึ้น” 

ออย-รัตนวดี กิตติกูลไพศาล แม่ทัพทางการตลาดของบริษัทหลักทรัพย์จำกัดมหาชนแห่งหนึ่ง ในวัย 44 ปี ขณะที่ชีวิตเธอกำลังอยู่ในจุดที่ทุกคนใฝ่ฝัน ครอบครัวดี ฐานะดี มีสามีที่น่ารัก และหน้าที่การงานที่ไม่ได้ให้แค่ ‘ตัวเงิน’ หากแต่ยังให้ทั้งความสุข ความสำเร็จ และความภาคภูมิใจ ก่อนที่ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งทันที ณ นาทีที่เธอรู้ว่า ‘ตัวเองกำลังเป็นมะเร็งเต้านม’ แต่นั่นเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในชีวิต…ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยอยู่ในความคิดของเธอมาก่อน

ตลกร้ายกลายเป็นโชค!

“เมื่อก่อนเวลาเป็นอะไรที จะไม่ยอมไปหาหมอ เพราะรู้สึกว่าการไปหาหมอเป็นเรื่องเสียเวลามาก แต่พอมะเร็งเข้ามาในชีวิต ความคิดเราเปลี่ยนทันที เพราะเราไม่รู้หรอกว่าอาการเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นอยู่นั้น มันอาจจะเป็นสัญญาณของโรคร้ายที่แอบซ่อนอยู่ ฉะนั้น ยิ่งเราเจอความผิดปกติเร็วเท่าไร นั่นหมายถึงโอกาสที่จะรอดชีวิตมากขึ้นเท่านั้น

“ย้อนกลับไปราวต้นเดือนตุลาคม ปี 2564 ออยรู้สึกเจ็บระบมที่ใต้ราวนมด้านซ้ายขึ้นมา พอใช้มือคลำดูก็พบว่าเป็นก้อน ทั้งที่เดิมทีเป็นคนที่เป็นอะไรแล้วจะไม่ค่อยไปหาหมอเท่าไร แต่ครั้งนั้นคิดว่าต้องไปหาหมอ ด้วยความเป็นช่วงโควิดที่ต้องเวิร์กฟรอมโฮมพอดี และบริษัทจะให้พนักงานทุกคนกลับไปทำงานในออฟฟิศในวันที่ 1 พฤศจิกายน เราจึงรู้สึกว่าช่วงนี้แหละควรไปหาหมอ เพราะถ้าหลุดจากช่วงเวิร์กฟรอมโฮมแล้วคงจะไม่มีโอกาสไปหาหมอแน่ๆ

“หลังจากนัดคิวกับทางโรงพยาบาลแล้วก็ไปตามนัด วันนั้นหมอก็ให้ทำแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์ ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกในชีวิต จากที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพประจำปี หรือการตรวจสุขภาพของทางบริษัท เราจะตรวจร่างกายเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเลือด ตรวจความดัน ฯลฯ หรืออย่างมากที่สุดก็ตรวจแค่ ‘มะเร็งปากมดลูก’ แล้วให้ทางคุณหมอช่วยคลำหน้าอกเช็กดูบ้างในบางครั้ง ด้วยความชะล่าใจว่าตัวเองคงห่างไกลจากมะเร็งเต้านมมากหรือคงไม่ซวยขนาดนั้นหรอก จึงไม่เคยตรวจเช็กเต้านมตัวเองมาก่อนเลย

“จำได้ว่าวันนั้นขณะที่คุณหมอตรวจแมมโมแกรมไป สีหน้าคุณหมอดูไม่ดีเลย ตอนนั้น ยิ่งพออัลตราซาวด์ก็ยิ่งเริ่มใจไม่ดี เพราะคุณหมอแจ้งว่า ก้อนที่มีอาการเจ็บใต้ราวนมมานั้น น่าจะเป็น ‘ถุงน้ำ’ ซึ่งไม่มีอันตรายอะไร แต่คุณหมอมาเจออีกก้อนหนึ่งบริเวณใกล้รักแร้ที่เต้านมข้างเดียวกันนี้ หน้าตามันดูไม่ดีเลย และเป็นก้อนเนื้อต้องสงสัยที่คุณหมออยากให้เจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ

“คุณหมอถามเราว่า “สะดวกเจาะเลยไหม” หรือจะไปเช็กอัพที่อื่นก่อน ด้วยความที่เราไม่อยากให้มันค้างคา จึงติดสินใจให้คุณหมอเจาะชิ้นเนื้อในวันนั้นเลย จากนั้นก็รอฟังผลอีก 1 สัปดาห์ ปรากฏพอถึงวันนัดคุณหมอก็แจ้งเลยว่า ค่า BIRADS 5 นั่นแสดงว่าเราน่าจะเป็นมะเร็งเต้านมแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์

“ยอมรับว่าใจหายนะ แต่ลึกๆ ก็ยังคิดว่าโชคดีที่เรามาหาหมอในวันนั้น เพราะถ้าไม่ได้แมมโมแกรมและอัลตราซาวด์ เราก็คงไม่เห็นมะเร็งก้อนนี้ และหากเราปล่อยให้นานกว่านั้น การรักษาก็น่าจะยุ่งยากกว่านี้ ส่วนหนึ่งก็ต้องขอบคุณโควิดที่ทำให้เราได้มีช่วงเวลาเวิร์กฟรอมโฮม เพราะถ้าทำงานที่ออฟฟิศก็คงไม่ยอมเสียเวลาไปหาหมอแน่นอน ในชีวิตเราแทบไม่เคยลาป่วยเลย ถึงจะปวดหัวหรือตัวร้อนอย่างไร ก็พยายามจะไปทำงานให้ได้ มีเหตุผลเดียวเท่านั้นที่จะยอมลาหยุดงานคือไปเที่ยว (หัวเราะ)

“สำคัญที่สุดคือต้องขอบคุณ ‘ถุงน้ำ’ ที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บหน้าอกจนต้องมาตรวจ เพราะถ้าปกติดีก็คงจะลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้ แต่ที่แปลกก็คือหลังจากเรารู้ตัวว่าเป็นมะเร็งแล้ว เจ้าถุงน้ำนั้นก็หายไปเลย ไม่ว่าจะคลำอย่างไรก็ไม่เจอ นับเป็นเรื่องตลกร้ายอีกเรื่องที่ชีวิตนี้คงจะไม่มีวันลืมเลยทีเดียว”

‘ตัดเต้า’ ไม่เศร้าเท่า ‘ผมร่วง’

“หลังจากรู้ผลแล้ว ออยก็ถามคุณหมอว่าต้องทำอย่างไรต่อไป วันนั้นหมอก็ให้เลือกระหว่าง ‘การผ่าตัดทิ้งทั้งเต้า’ หรือ ‘ผ่าตัดแค่ก้อนเนื้อ’ แต่โดยความเห็นของหมอแล้ว ท่านแนะนำให้เราผ่าตัดทิ้งทั้งเต้าจะปลอดภัยกว่า เพราะนอกจากก้อนที่พบว่าเป็นมะเร็ง 1 ก้อน ใกล้รักแร้แล้ว ก็ยังพบว่ามีก้อนอื่นๆ อีก 2-3 ก้อน ซึ่งมีขนาด 2-3 เซนติเมตร การตัดทิ้งทั้งหมดนอกจากจะเป็นการตัดตอนไม่ให้มะเร็งลุกลามแล้ว ก็ยังเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องเจ็บตัวหลายครั้งในการเจาะก้อนเนื้อไปตรวจทุกก้อนว่าใช่หรือไม่ใช่มะเร็ง สุดท้ายเราจึงตัดสินใจตัดทิ้งทั้งเต้า โดยก่อนผ่าตัดก็บอกหมอว่า ขอเที่ยวก่อน (หัวเราะ) เพราะจองที่พักที่หัวหินไว้แล้วตั้งแต่ก่อนจะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง

“พอกลับมาจากหัวหิน คุณหมอก็นัดมาเช็กอัพร่างกายอีกครั้งเพื่อดูความพร้อมก่อนผ่าตัดจริงในวันที่ 28 ตุลาคม 2564 ซึ่งผลออกมาไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง โดยการผ่าตัดครั้งนี้จะเป็นการผ่าตัดทิ้งทั้งเต้า และไม่มีการเสริมหน้าอกใดๆ เลย ด้วยความที่เรามีเพื่อนที่เคยเป็นมะเร็งเต้านมมาก่อน และเคยทำการเสริมหน้าอกทันทีหลังการผ่าตัด ปรากฏว่าหลังแผลสมานแล้ว เต้านมทั้งสองข้างกลับไม่เท่ากัน เราจึงตัดปัญหาไปเลยดีกว่า เพราะไม่อยากมาผิดหวังทีหลัง และสามีก็ไม่ได้ซีเรียส ตรงกันข้ามเขากลับเป็นห่วงว่าเราจะเจ็บตัว 2-3 รอบมากกว่า ยิ่งในปัจจุบันมีอุปกรณ์เสริมหน้าอกให้เลือกใช้หลากหลาย เราจึงไม่กังวลกับการมีนมข้างเดียวเท่าไร แต่กลับไปเศร้าเรื่องผมจะร่วงจากการคีโมมากกว่า (หัวเราะ)

“หลังผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว คุณหมอก็แจ้งว่ามะเร็งที่เราเป็นอยู่นั้นยังถือว่าอยู่ในระยะ 1 และยังไม่ลามไปต่อมน้ำเหลือง ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีมาก เราพักฟื้นอยู่โรงพยาบาลเพียง 4 วัน ก็กลับบ้านและสามารถทำงานได้ตามปกติ ก่อนกลับบ้านคุณหมอผ่าตัดให้เราไปปรึกษาคุณหมอคีโมต่อว่า ‘จะต้องทำคีโมไหม’ เนื่องจากผู้ป่วยที่จะทำคีโมนั้น ก้อนมะเร็งต้องอยู่ที่ 3 เซนติเมตรขึ้นไป ขณะที่ขนาดของก้อนมะเร็งของเราอยู่ที่ 3.3 เซนติเมตร ซึ่งเกินมาเพียง 0.3 เซนติเมตร เรามีความหวังขึ้นมาทันทีว่า บางทีเคสเราอาจจะไม่ต้องทำคีโมก็ได้

“ด้วยความที่เราดูแลผมมาตลอด และมีความสุขกับการทำผมสวยๆ ทำสีนั้นสีนี้ ตัด สระ ไดร์อยู่ไม่เคยขาด พอรู้ว่าเป็นมะเร็งแล้วจะทำให้ไม่มีผม เราเสียใจมาก ถึงขนาดก่อนเข้ารับการผ่าตัด เราจำใจไปร่ำลาช่างผมประจำตัวเลย เพราะกลัวเขาจะไม่รู้ว่าเราหายไปไหน พูดง่ายๆ ว่า นมหายยังไม่เสียใจเท่ากับผมร่วงเลย (หัวเราะ)

“ปรากฏว่าพอคุยกับคุณหมอคีโม ท่านก็แนะนำว่า เคสเรานั้นควรจะทำ แต่ก็ยังให้โอกาสเราได้เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำก็ได้ หรือจะใช้วิธีส่งก้อนเนื้อไปตรวจที่ห้องแล็บที่เมืองนอกก่อนก็ได้ เพื่อให้แน่ใจว่า ควรทำ หรือ ไม่ทำคีโมได้ไหม แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายราว 2 แสนบาท ขณะที่หากเราทำคีโม 4 ครั้ง ตามที่หมอแนะนำ ค่าคีโมจะอยู่ที่แสนกว่าบาท เราจึงตัดสินใจว่าทำคีโมเลยดีกว่า เพราะหากส่งไปตรวจที่เมืองนอก แล้วผลออกมาว่าเคสเราจะต้องทำคีโม นั่นหมายถึงเราต้องเสียทั้งค่าตรวจ 2 แสนบาท และค่าคีโมอีกแสนกว่าบาท จึงตัดสินใจว่า ไหนๆ ที่ผ่านมาก็ทำใจว่าผมต้องร่วงอยู่แล้ว ทั้งยังซื้อผ้าโพกผมและวิกผมรออยู่แล้ว ก็ลุยเลยแล้วกัน”

กลัวอะไร…เผชิญหน้า

“หลังตัดสินใจว่าทำคีโม เราก็เร่งนับวันรอคีโมเข็มสุดท้ายทันที เป้าหมายเดียวในตอนนั้นก็คือทำทุกวิถีทางให้คีโมจบเร็วที่สุด เพื่อผมจะได้ขึ้นเร็วที่สุด (หัวเราะ) ถามว่า กลัวไหม? ตอบได้เลยว่า กลัวพอๆ กับคนอื่น เพียงแต่เมื่อเรากลัวอะไรแล้ว เราก็จะเผชิญหน้าเลย สงสัยอะไรก็ถามหมอตรงๆ เลย จะไม่ใช้วิธีเสิร์ชหาใน Google เด็ดขาด เช่น กลัวกินไม่ได้แล้วร่างกายจะทรุดหนัก เราก็พยายามกินทุกอย่าง สุดท้ายก็กลายเป็นว่ากินไม่หยุด กินทั้งวัน จนน้ำหนักขึ้น, กลัวปากจะร้อนใน ก็ถามวิธีจากคุณหมอ ท่านก็แนะนำให้อมน้ำแข็ง เราก็ปฏิบัติตาม ซึ่งผลจากการทำคีโม 4 ครั้ง เราก็พบแค่แผลร้อนในแค่จุดเดียว, กลัวผลเลือดจะไม่ผ่านก็ปรึกษาหมอ ท่านก็แนะนำให้ลองใช้วิธีการฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว โดยจะมีให้เลือก 2 แบบ คือ ฉีดเข็มเดียว 2.5 หมื่นบาท หรือฉีดทุกวัน 5-10 วัน เข็มละ 1,500 บาท

“ออยเลือกเข็มละ 1,500 บาท โดยฉีดยาเข้าที่หน้าท้องด้วยตัวเอง 5 วัน (คล้ายผู้ป่วยเบาหวานฉีดอินซูลิน) วันละ 1 เข็ม ร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะไข่ขาวที่จะกิน 2-3 ฟอง ไปจนถึง 8-10 ฟองต่อวัน ซึ่งครั้งที่ 1-2 ก็ผ่านไปด้วยดี

“หลังให้คีโมครั้งแรกผ่านไปได้ 3 สัปดาห์ ผมก็เริ่มร่วงติดมือ จำได้ว่าช่วงนั้นอาบน้ำนานมาก เพราะผมร่วงตลอดเวลา และเราไม่รู้ว่าจะจัดการกับเส้นผมที่ร่วงเกลื่อนในพื้นห้องน้ำอย่างไรดี ทนมาได้เกือบสัปดาห์ก็บอกกับสามีว่า “ไม่ไหวแล้ว…โกนดีกว่า”  พอโกนเท่านั้นแหละ เราก็พบว่าจริงๆ การใส่วิกหรือใช้ผ้าโพกศีรษะก็สวยไปอีกแบบ (หัวเราะ)  

“กระทั่งคีโมครั้งที่ 3 จำได้เลยว่าตรงกับวันคริสต์มาส เราไปหาหมอพร้อมสามีด้วยใจที่ร่าเริงมาก เพราะเหลืออีกเข็มเดียวก็จะจบการรักษาแล้ว แต่ปรากฏว่าวันนั้นเม็ดเลือดขาวดันไม่ขึ้น ต้องกลับบ้านมาพร้อมกับความรู้สึกเฟลมาก เราต้องเริ่มต้นฉีดยากระตุ้นเข้าหน้าท้องอีก 5 วัน และกลับไปให้คีโมอีกครั้ง จนในครั้งที่ 4 นั้นเอง ออยก็เปลี่ยนวิธีมาใช้ยากระตุ้นแบบฉีดเข็มเดียว 2.5 หมื่นบาทไปเลย เพื่อจะให้การรักษาจบเร็วที่สุด”

โชคดีที่เป็นมะเร็ง

“จากที่เคยคิดว่าชีวิตเราห่างไกลจากมะเร็ง จนถึงวันนี้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง มะเร็งทำให้เราได้หันกลับมาดูแลตัวเองมากขึ้น จากเมื่อก่อนนอนดึก ตื่นเช้า เดี๋ยวนี้ก็นอนเร็วขึ้น จากที่ห่างไกลวัดวา ก็หันมาสวดมนต์ให้จิตใจสงบลง จากรักสวยรักงาม ต้องทำผม ทำเล็บ ทำนั่นทำนี่เป็นประจำ เดี๋ยวนี้ก็เริ่มปลงได้มากขึ้น

“มะเร็งถือเป็นเหมือนจุดเปลี่ยนให้เราหันกลับมาทบทวนชีวิตที่ผ่านมาว่า เราได้ทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง และทำให้เราสามารถปรับปรุงสิ่งเหล่านั้นได้แบบทันทีทันใด โดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ เราเลิกแอลกอฮอล์ได้แบบเด็ดขาด แต่ยังสามารถไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ได้เหมือนเดิม โดยไม่ต้องถือแก้วไวน์ในมือเหมือนเมื่อก่อน เพียงเพราะเหตุผลเดียวคือ เราอยากมีชีวิตอยู่ต่อ…

“ที่มหัศจรรย์กว่านั้น มะเร็งยังทำให้เรารู้ว่า มีคนรักเรามากมายแค่ไหน นอกจากครอบครัว เพื่อนฝูงแล้ว เพื่อนเก่าที่ไม่ได้คุยกันนานก็มาเยี่ยมถึงที่บ้าน เราได้เห็นความรัก เราได้เห็นสิ่งดีๆ คำพูดดีๆ กำลังใจดีๆ ที่รายล้อมรอบตัวเรา ซึ่งนับเป็นความโชคดีในชีวิตที่มะเร็งนี่แหละทำให้เรามองเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น

“ทุกวันนี้เรารู้สึกโชคดีมากที่เป็นมะเร็ง เพราะมะเร็งทำให้เรามีโอกาสเลือกการรักษา มีโอกาสเลือกโรงพยาบาล มีโอกาสเลือกหมอด้วยตัวเอง มีโอกาสได้ทำสิ่งต่างๆ ที่ยังค้างคา มีโอกาสได้บอกกับทุกคนว่า เราเป็นมะเร็ง ดีกว่าประสบอุบัติเหตุหรือเป็นโรคอื่นๆ ที่เสียชีวิตแบบกะทันหัน แล้วไม่มีโอกาสได้บอกลาใครเลย”   

คิดดี ชีวิตดี

“อย่ามัวมานั่งคิดเหตุผลเลยว่า เราเป็นมะเร็งเพราะอะไร เพราะไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้หรอก เมื่อเป็นมะเร็งแล้วก็แค่รักษากันไปเท่านั้นเอง ที่สำคัญเป็นมะเร็งแล้ว…รักษาหายได้ ฉะนั้น หน้าที่ของเราคือให้กำลังใจตัวเอง อย่ามัวแต่คิดลบ คิดร้าย เพราะมันจะทำร้ายตัวเองไปเปล่าๆ

“ออยเชื่อว่าผู้ป่วยทุกคนล้วนกลัวผลข้างเคียงจากการทำคีโมกันทั้งนั้น แต่ความกลัวมันไม่ได้ช่วยอะไร วิธีที่ออยใช้ก็คือการโฟกัสไปที่สิ่งที่เรามีความสุข แทนที่จะจดจ่ออยู่กับความทุกข์ เช่น พรุ่งนี้จะไปให้คีโม เราก็เตรียมเสิร์ชหาร้านอาหารอร่อยๆ เพื่อแวะก่อนกลับบ้านเลย หรือแทนที่เราจะทุกข์ว่า เราจะไม่มีผม เราจะไม่สวย เราก็หันมาชอปผ้าโพกศีรษะสวยๆ หรือวิกผมทรงใหม่ๆ แล้วมาเปลี่ยนลุคให้สนุกไปเลยดีกว่า การโฟกัสที่ความสุขเหล่านี้นี่แหละ จะช่วยให้เราผ่านมะเร็งไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

“ถึงวันนี้ออยอยากจะบอกกับทุกกคนว่า อย่ากลัวที่จะตรวจสุขภาพ อย่ากลัวที่จะไปหาหมอเมื่อรู้สึกผิดปกติไม่ว่าอะไรก็ตาม เพราะนั่นคือโอกาสที่เราจะรอดชีวิตจากโรคร้ายต่างๆ ยิ่งเราเจอเร็ว เราก็มีโอกาสรอดสูง สำคัญกว่านั้นอย่าละเลยที่จะทำ ‘ประกันสุขภาพ’ เพราะวันหนึ่งประกันนี่แหละจะกลับมาช่วยเราในวันที่เราล้มป่วย

“เชื่อไหมครั้งแรกที่รู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง เรื่องเงินเป็นเรื่องที่เราคิดถึงเป็นอันดับแรก เราถามตัวเองซ้ำๆ ว่า เราต้องใช้เงินเท่าไรถึงจะหาย เครียดมาก ถึงขนาดโทรไปหาเพื่อนที่เคยเป็นมะเร็งและถามเขาว่า ใช้เงินรักษาไปเท่าไร คำตอบที่ได้คือ 4 ล้านบาท! ตอนนั้นเข่าทรุดเลย เงินเก็บที่เราทำงานหนักมาทั้งชีวิตจะมาหมดเพราะมะเร็งครั้งนี้จริงๆ หรือ

“แต่เครียดอยู่ได้แค่คืนเดียว ทุกอย่างก็คลี่คลายเมื่อออยไปพบกรมธรรม์ที่เคยทำไว้นานจนลืมไปแล้ว จากที่ต้องจ่ายหลักล้าน มะเร็งครั้งนี้ออยจ่ายไปไม่กี่หมื่นบาท ฉะนั้น หากไม่อยากให้เงินเก็บจากการทำงานมาทั้งชีวิตหมดไปเพียงเพราะเราล้มป่วยครั้งเดียว ทำประกันไว้ ช่วยเราได้เยอะค่ะ”

#LifeGoesOn
#เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป
#มะเร็งเต้านมรู้เร็วรักษาเร็วก็หายได้
#ชมรมมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย
#TBCC

แชร์ไปยัง
Scroll to Top