
“โชคดีแค่ไหน…
ที่ยังมีโอกาสรักษา”
น้ำเสียงเจือรอยยิ้มของ ต๊อกแต๊ก-พลอยนภัส แสนสุข แม่พิมพ์ของชาติวัย 43 ปี ปัจจุบันเธอเป็นคุณครูประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านถิ่นทอนเหนือ โรงเรียนขนาดเล็กในอำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย และดำรงสถานะผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิดที่มีตัวรับฮอร์โมน ระยะ 4 ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองและปอด
“ย้อนหลังกลับไปเมื่อ 7-8 ปีก่อน แต๊กเคยคลำเจอก้อนเล็กๆ ที่เต้านมด้านซ้าย แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ค่อยใส่ใจตัวเองเท่าไรนัก บวกกับความกลัวเข็มมาแต่ไหนแต่ไร เวลาป่วยก็จะเน้นซื้อยากินเองมาตลอด ทำให้เราละเลยที่จะไปตรวจกับคุณหมอ และปล่อยทิ้งไว้ จน 2 ปีให้หลัง ก้อนที่เคยเล็กกลับขยายขนาดขึ้นแบบก้าวกระโดด ตอนนั้นเองที่เริ่มเสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งเต้านม และเข้าไปติดตามเพจ ‘หมอหมูสู้มะเร็ง’ จนพอรู้ว่าโรคมะเร็งก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ก็ยังไม่วายที่จะคิดเข้าข้างตัวเองว่า ก้อนนั้นคงเป็นแค่ซีสต์ และพยายามบ่ายเบี่ยงที่จะไปรักษา
“สุดท้ายก้อนก็โตจนเต้านมเริ่มรั้ง ผิดรูป มีผิวคล้ายเปลือกส้มเกิดขึ้น ขนาดเส้นผ่านศูนย์ที่กะประมาณได้จากการคลำก็ราวๆ 8-9 เซนติเมตร เราเริ่มคิดแล้วว่า น่าจะใช่แล้วละ! ระหว่างนั้นก็เกิดวิกฤตกับชีวิตรักจนต้องเลิกรากับคู่หมั้นไป หลังจากรักษาแผลใจได้ ก็หันมาใส่ใจตัวเองมากขึ้น ซึ่งเราก็พบว่าที่ผ่านมาเราละเลยที่จะรักตัวเองมามากพอแล้ว นั่นจึงทำให้เราตัดสินใจเข้ารับการตรวจเต้านมเป็นครั้งแรกในชีวิตเมื่อเดือนเมษายน 2567”


ผลลัพธ์ที่น้อมรับ
“คุณหมอนัดฟังผลแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ในเดือนพฤษภาคม 2567 วันนั้นคุณหมอพูดมาประโยคหนึ่งว่า ‘ทำไมถึงปล่อยไว้นานขนาดนี้’ ก่อนจะสั่งให้เราแอดมิตทันที เพื่อทำการผ่าตัดเล็กเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ หลังจากนั้นก็นัดมาฟังผลอีกครั้งในวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นวันเปิดเทอมวันแรกพอดี ด้วยความห่วงงานและห่วงเด็กๆ จึงตัดสินใจโทรเลื่อนนัดฟังผลไปเป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ (หัวเราะ)
“กระทั่งวันฟังผล คุณหมอก็เริ่มต้นด้วยคำถามแบบตรงไปตรงมาว่า ‘คุณพลอยนภัส…คุณคิดว่าผลชิ้นเนื้อเป็นเนื้อดีหรือร้าย’ ตอนนั้นเราก็ตอบคุณหมอไปว่า ‘ค่อนข้างจะมั่นใจ 90 เปอร์เซ็นต์ ว่าเป็นเนื้อร้าย’ คุณหมอพูดพร้อมพยักหน้าว่า ‘ใช่…เป็นเนื้อร้าย’ จากนั้นคุณหมอก็ร่ายยาวถึงแผนการรักษาให้ฟังว่า ด้วยก้อนเนื้อค่อนข้างโต กินบริเวณเนื้อเต้านมฝั่งซ้ายไปประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ จึงจะส่งตัวเราไปให้คีโมก่อน เพื่อลดขนาดก้อนลงแล้วจึงผ่าตัด และตอนนั้นคุณหมอก็ให้เอกซเรย์ปอด ปรากฏว่าพบจุดเล็กๆ ที่ปอด ซึ่งคาดว่ามะเร็งได้ลุกลามไปที่ปอดแล้ว แต่คุณหมอก็ปลอบว่า ’ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวให้คีโมไปก็จะดีขึ้น’





เข้าสู่กระบวนการรักษา
“หลังจากคุณหมอส่งตัวไปรักษาต่อที่คุณหมอคีโม ประโยคแรกๆ ที่คุณหมอคีโมพูดกับเราก็คือ
‘รู้ไหมว่าคนไข้เป็นมะเร็งระยะ 4 นะ
เพราะมะเร็งลุกลามไปแล้ว
ซึ่งเราต้องรักษาแบบประคับประคองอาการไป
ฉะนั้น ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวให้มากที่สุดนะ’
พอได้ยินประโยคนี้ขึ้นมาก็มีใจหวิวๆ เหมือนกัน แต่ก็พยายามดึงสติไม่ให้ดิ่ง จากนั้นคุณหมอก็แจ้งแผนการรักษา โดยแรกเริ่มที่วางไว้ก็คือ จะให้คีโมสูตรน้ำแดงไปก่อน 4 เข็ม และหากก้อนเล็กลงก็ผ่าตัด แล้วจึงให้คีโมสูตรน้ำขาวต่ออีก 4 เข็ม ก็เป็นอันจบการรักษา แต่ปรากฏว่าพอให้คีโมสูตรน้ำแดงไปจนถึงเข็มที่ 4 ปรากฏว่าก้อนยังมีขนาดเล็กลงไม่ถึงจุดที่ควรผ่าตัด คุณหมอคีโมจึงตัดสินใจให้คีโมสูตรน้ำขาวต่ออีก 4 เข็ม จนจบในวันที่ 29 ตุลาคม 2567
“กระทั่งวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 คุณหมอท่านแรกก็นัดผ่าตัด พอไปถึงแทนที่จะผ่าตัด คุณหมอก็ตรวจเต้านมให้แล้วถามขึ้นมาว่า ‘คุณพลอยนภัส รู้สึกว่าเต้านมด้านขวา (อีกข้าง) มีก้อนไหม’ ซึ่งก็มีจริงๆ คุณหมอจึงแนะนำให้เจาะชิ้นเนื้อที่เต้านมด้านขวาไปตรวจก่อน หากเป็นเนื้อร้ายจะได้กลับมาผ่าตัดทั้งสองเต้าเลย แต่โชคดีที่ผลออกมาไม่ใช่เนื้อร้าย
“พอวันที่ 10 พฤศจิกายน 2567 คุณหมอก็นัดมาแอดมิตอีกครั้ง เพื่อรอผ่าตัดยกเต้าด้านซ้ายและเลาะต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ด้านซ้ายในวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็พักฟื้นที่โรงพยาบาลต่อ จนกว่าจะเอาสายเดรนออก แต่ด้วยร่างกายเราฟื้นตัวเร็วจึงเกิดความคิดอยากกลับไปทำงาน พออยู่โรงพยาบาลได้ 7 วัน ก็ขออนุญาตคุณหมอกลับบ้าน ซึ่งคุณหมอก็กำชับแล้วกำชับอีกว่า ต้องวัดปริมาณของเสียจากสายเดรนและกระปุกทุกวันนะ จากนั้นก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ โดยเราก็หอบสายเดรนขับรถกลับบ้านด้วยตัวเองเลย (หัวเราะ) และก็ต้องหิ้วสายเดรนพร้อมกระปุกมาล้างแผลทุกวัน กระทั่งวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 คุณหมอก็นัดถอดสายเดรนออก ก็กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ”





โชคดีแค่ไหนที่เป็นมะเร็ง
“หลังแผลหายดีแล้ว คุณหมอก็นัดฉายแสงต่ออีก 16 แสง โดยต้องเดินทางไปฉายแสงที่โรงพยาบาลมะเร็งอุดรธานี เนื่องจากที่โรงพยาบาลหนองคายยังไม่มีเครื่องฉายแสง ด้วยความที่ต้องฉายแสงทุกวัน สัปดาห์ละ 5 วัน ถึงแม้จะไม่มีอาการข้างเคียงใดๆ แต่เราก็ไม่อยากเดินทางไป-กลับทุกวัน กว่า 50 กิโลเมตร จึงตัดสินใจเช่าหอพักอยู่ใกล้ๆ โรงพยาบาล และจะขับรถกลับบ้านในวันศุกร์ และกลับมาฉายแสงอีกครั้งในวันจันทร์ ทำอย่างนั้นจนจบการฉายแสงในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
“ทุกวันนี้ก็ยังต้องกินยาคีโมต่ออีกวันละ 6 เม็ด รวมถึงยารักษาไวรัสตับอักเสบบี ยาไทรอยด์ และวิตามินบีรวมและโฟลิก รวมถึงต้องฟอลโลอัปกับคุณหมออย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่ามะเร็งจะลุกลามไปที่อื่นอีกไหม ล่าสุดก็เพิ่งไปผ่าตัดก้อนไขมันขนาดเท่าหัวนิ้วโป้งที่ศีรษะออก ซึ่งเป็นก้อนที่พบมาตั้งแต่สมัยยังเรียนชั้นมัธยม แต่ด้วยความที่ไม่มีอาการเจ็บและอยู่ใต้ผมมาตลอดทำให้ไม่มีใครเห็น เราจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่พอเป็นมะเร็งเท่านั้น ทุกอาการผิดปกติเราปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว ทั้งไทรอยด์ ไวรัสตับอักเสบบี และก้อนไขมันที่ศีรษะ จึงถือโอกาสนี้เป็นการเคลียร์ร่างกายครั้งใหญ่เลยก็ว่าได้
“แม้คุณหมอจะบอกว่า ก้อนที่ศีรษะเป็นเพียงก้อนไขมัน ไม่มีอันตรายใดๆ แต่ด้วยความที่มะเร็งเข้ามาเตือนเราแล้ว และเราไม่รู้ว่าถ้าปล่อยทิ้งไว้ ต่อไปจะกลายเป็นอะไรที่ร้ายแรงขึ้นมาอีกหรือเปล่า และด้วยความที่คุณหมอได้ส่งทำ MRI สมองแล้ว พบว่าเป็นก้อนที่อยู่แค่ตื้นๆ นอกกะโหลก หากผ่าตัดก็เป็นเพียงผ่าตัดเล็กแบบไม่ต้องแอดมิต ผ่าแล้วกลับบ้านได้เลย จึงตัดสินใจผ่าออกดีกว่าเพื่อความสบายใจ”



ระยะ 4 ก็แฮปปี้ได้
“เราไม่เคยเสียใจเลยที่เป็นมะเร็ง แต่เสียใจอยู่เรื่องเดียวคือเสียใจที่ตัดสินใจเข้ารับการรักษาช้าไป หากเข้ามาเร็วกว่านี้ อาจจะรักษาได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสหายมากกว่านี้ แต่อย่างไรก็ยังรู้สึกว่าโชคดีที่วันนี้ยังมีโอกาสรักษา และขอบคุณที่มะเร็งเข้ามาทำให้เราเห็นความผิดปกติในร่างกายหลายอย่าง เช่น ก้อนไขมันที่ศีรษะหรือไทรอยด์ที่ยังไม่เป็นพิษ (ยิ้ม)
“ทั้งหมดนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เราได้ละเลยที่จะดูแลตัวเองมาเนิ่นนานมาก และเราไม่โทษใครเลย นอกจากตัวเอง เมื่อก่อนเราเอาแต่ห่วงคนอื่น รักและดูแลคนอื่น ทำเพื่อคนอื่นมาตลอด จนลืมที่จะรักตัวเอง ดูแลตัวเอง แต่เมื่อความรักพังลง เราจึงได้เรียนรู้ว่า รักตัวเองนี่แหละไม่มีวันอกหักแน่นอน และเมื่อเรารักตัวเองเป็น เราก็จะเห็นความสุขอยู่ไม่ไกล และไม่มีเงื่อนไขกับความสุขอีกแล้ว อยู่ตรงไหนแล้วมีความสุข เราก็อยู่ตรงนั้น หากอยู่ตรงไหนแล้วเราทุกข์ ก็แค่หลบออกมา
“ถ้าถามถึงเป้าหมายในอนาคต…ไม่มีแล้ว เราโฟกัสแค่ทำให้ตัวเองมีความสุขในวันนี้ นาทีนี้เท่านั้น แค่ได้เห็นรอยยิ้มของแม่ในทุกๆ วัน แค่ได้นั่งกินข้าวและหัวเราะไปกับคนที่เรารักและรักเรา ได้อยู่กับเด็กๆ เพื่อนๆ ที่รักและหวังดีกับเรา แค่นี้พอแล้วชีวิต และไม่ว่าเวลาของเราจะเหลือเท่าไร 10 ปี 1 ปี 1 เดือน 1 สัปดาห์ หรือ 1 วัน ก็ไม่เป็นไร แค่วันนี้เรายังยิ้มได้ ถือว่าคุ้มแล้วชีวิต”


ถึงผู้ป่วยมะเร็งทุกคน
“แม้กำลังใจจากคนรอบข้างจะเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง แต่หากตัวผู้ป่วยเองไม่รู้จักให้กำลังใจตัวเองเลย ก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ตกเหวลึกแล้วมีผู้คนมากมายพยายามยื่นมือไปช่วยคุณขึ้นมา แต่คุณเอาแต่นั่งก้มหน้าร้องไห้ โทษฟ้าโทษดิน ต่อให้กำลังใจจากคนรอบข้างมากมายแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
“ฉะนั้น อย่าลืมให้กำลังใจตัวเองและบอกกับตัวเองว่า โชคดีแค่ไหนที่ยังมีโอกาสรักษา โชคดีแค่ไหนที่เราเป็นแค่มะเร็ง บางคนประสบอุบัติเหตุกะทันหัน หรือบางคนก็เส้นเลือดในสมองแตกกลายเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิทรา พวกเขายังไม่ทันบอกลาคนรักด้วยซ้ำ
“การรักษามะเร็งในวันนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดแล้ว อาการข้างเคียงต่างๆ จากการรักษาที่สมัยก่อนเคยทำให้ร่างกายผู้ป่วยทรุด วันนี้มียาบรรเทาแทบทุกอาการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอาการเบื่ออาหารก็มียาแก้เบื่ออาหาร มีอาหารทางการแพทย์ มียาแก้คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย ท้องผูก ทุกอย่างมีทางออกไว้ให้เราหมด ซึ่งโดยส่วนตัวเราแทบไม่ได้เจออาการเหล่านี้เลย แม้แต่เรื่องเบื่ออาหารก็ไม่มี ตรงกันข้ามเรากลับกินอาหารได้มากขึ้น ยิ่งป่วยยิ่งกินอร่อย และเราก็ไม่ได้จำกัดว่าสิ่งนี้กินได้ สิ่งนั้นห้ามกิน กินทุกอย่างที่อยากกิน มีความสุขกับการกินมากๆ (หัวเราะ) ฉะนั้น อย่าคิดว่าเป็นมะเร็งแล้วต้องมีอาการเหมือนกันทุกคน คนอื่นแพ้ เราอาจจะไม่แพ้ก็ได้ หากวันนี้ยังมีโอกาสรักษา ก็ลุยให้เต็มที่ และเชื่อมั่นในคุณหมอและการรักษาแพทย์แผนปัจจุบันเถอะ
“สำหรับใครที่ยังไม่ได้ป่วยก็อยากเชียร์ให้ทุกคนตรวจสุขภาพประจำปี และหากเจอความผิดปกติใดๆ ในร่างกาย อย่ากลัว รีบไปรักษา เพราะทุกอาการมีทางออกเสมอ ยิ่งเจอในระยะเริ่มต้น ก็ยิ่งรักษาง่ายและไม่ซับซ้อน หรือแม้พบในระยะท้ายๆ ก็บอกตัวเองเถอะว่า โชคดีแค่ไหน…ที่ยังมีโอกาสรักษา แล้วลุยเลย!”
.
#มะเร็งเต้านมรู้เร็วรักษาเร็วก็หายได้
#เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป
#TBCCLifegoeson
#ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย

