เพชรมณี ชำนิกุล : ตื่นรู้อยู่กับ ‘มะเร็ง’

“ถามว่ากลัวไหม คงไม่ใช่ความกลัว
แต่เป็นการไม่กล้ายอมรับความจริงมากกว่า 
คิดว่าตัวเองเป็นมะเร็งนั่นแหละ
เพียงแต่เรายังไม่พร้อมให้ใครมาคอนเฟิร์ม
ยังไม่พร้อมรับฟังความจริงจากใครทั้งนั้น 
แม้กระทั่งจากปากคุณหมอเอง”

ความรู้สึกที่จมอยู่กับอาการผิดปกติบางอย่างในร่างกายมานานนับสิบปีของ มุก-เพชรมณี ชำนิกุล อดีตผู้ป่วยมะเร็งเต้านมวัย 44 ปี เจ้าของธุรกิจนำเข้าเครื่องสำอางและอาหารเสริม ที่พ่วงท้ายบทบาทคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวของลูกสาววัย 18 ปี ด้วยความที่ต้องรับภาระดูแลครอบครัวในฐานะลูกสาวคนโตของบ้าน กอปรกับมีเหตุที่ทำให้ต้องตกอยู่ในสถานะคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวตั้งแต่ลูกสาวยังไม่ลืมตาดูโลก ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่สู้ไม่ถอย ปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอไม่ได้มาโดยตลอด  

“สิบปีก่อน เรามีอาการผิดปกติบางอย่างที่เข้าข่ายเป็นมะเร็งเต้านมมาก คือ ทุกๆ เดือนช่วงที่ใกล้รอบเดือนมา จะมีอาการเจ็บหน้าอกมาก จนบางครั้งอาบน้ำไม่ได้เพราะพอน้ำโดนหน้าอกจะเจ็บแทบทนไม่ได้ และยิ่งพอรอบเดือนมา ก็จะมีเลือดออกที่หัวนมร่วมด้วย อาการเหล่านี้จะเป็นเฉพาะช่วงที่มีรอบเดือน จากนั้นก็จะหายไป เป็นอย่างนี้ทุกเดือน ตอนนั้นก็ไม่กล้าไปหาหมอ เพราะเรายังมีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบมากมาย และยังอยู่ในระหว่างการสร้างเนื้อสร้างตัว จึงไม่พร้อมจะรับข่าวร้ายอะไรทั้งสิ้น (หัวเราะ) 

“เวลาผ่านไปสักปีกว่า จู่ๆ เลือดก็หยุดไหลและอาการเจ็บหน้าอกก็ค่อยๆ ลดลง เราก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าคงหายแล้วละ ซึ่งจริงๆ ช่วงนั้นมะเร็งคงค่อยๆ ก่อตัวเป็นก้อนแล้ว กระทั่ง 5 ปีต่อมา เราหันมาเปิดธุรกิจเป็นของตัวเอง ชีวิตเริ่มลงตัวมากขึ้น มีเวลาดูแลตัวเองมากขึ้น และเป็นจังหวะเดียวกับเพื่อนซึ่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งมาชวนเราซื้อแพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคสำหรับผู้หญิงในราคาที่ดีทีเดียว ด้วยความที่ชอบของราคาถูกอยู่แล้ว จึงตัดสินใจซื้อ และนั่นเองที่ทำให้เราอยู่ในสถานะผู้ป่วยมะเร็งเต้านมอย่างเป็นทางการครั้งแรกในชีวิต”

สู่สถานะผู้ป่วยมะเร็ง

“หลังตรวจแมมโมแกรม อัลตราซาวนด์เสร็จแล้ว ผลที่ออกมาพบก้อนผิดปกติที่ระหว่างอกทั้งสองข้าง ค่อนไปทางขวา แต่บังเอิญวันนั้นคุณหมอที่เชี่ยวชาญไม่อยู่ ทางเจ้าหน้าที่จึงส่งผลตรวจทั้งหมดไปให้คุณหมอ ไม่นานนักคุณหมอก็โทรศัพท์มาคุยกับเรา โดยขอนัดหมายเราในอีก 2 วันถัดมา ให้มาพบที่โรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากท่านมีคิวลงตรวจเร็วที่สุดที่นั่น

“หลังจากเข้าไปพบคุณหมอวันนั้น คุณหมอก็ซักประวัติแบบละเอียดยิบ โดยเราก็เล่าอาการผิดปกติที่ผ่านมาไปตามความจริง และก้อนที่ตรวจพบนั้นก็เป็นก้อนที่เรารู้ตัวมาสักพักแล้ว มีลักษณะเป็นก้อนแข็งๆ ที่เคลื่อนที่ได้เล็กน้อย และมักมีอาการเจ็บช่วงที่มีรอบเดือน แต่เป็นความเจ็บที่ทนได้ (หัวเราะ) เราจึงไม่ได้คิดอะไรมาก 

“จนวันที่มาตรวจนั้น ก้อนเริ่มโตขึ้น และหากเราเอนตัวลงนอนราบกับพื้นก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน วันนั้นคุณหมอจึงบอกว่า ‘ทิ้งไว้นานแล้วนะ เจาะชิ้นเนื้อเลยเนอะ’ จากนั้นท่านก็กรุณาเขียนใบส่งตัวเพื่อไปเจาะชิ้นเนื้อที่โรงพยาบาลรามาธิบดีทันที

“หลังเจาะชิ้นเนื้อไปประมาณสัปดาห์กว่าๆ ก็มาพบคุณหมอท่านเดิมอีกครั้ง แม้ตลอดสัปดาห์ที่รอผลชิ้นเนื้อ ในใจเราจะคิดมาตลอดว่า ต้องเป็นมะเร็งแน่ๆ แต่วันนั้นคุณหมอกลับไม่ได้พูดคำว่า ‘มะเร็ง’ ออกมาเลยสักคำ เพียงแต่บอกว่า ‘เคสเราอาจจะยากหน่อยนะ น่าจะรักษาตัวยาว ใช้สิทธิ์การรักษาอะไรได้บ้างไหม’ จากนั้นก็แนะนำให้กลับไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคม โดยท่านก็กรุณาเขียน ‘ใบแสดงความคิดเห็น’ ซึ่งเป็นเหมือนใบรับรองแพทย์ เพื่อให้เราสามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคมได้เร็วขึ้น  

“วันรุ่งขึ้นเราก็นำเอกสารผลตรวจ ไม่ว่าจะเป็นผลแมมโมแกรม อัลตราซาวนด์ และผลชิ้นเนื้อ รวมถึงใบแสดงความคิดเห็นของคุณหมอไปที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคม พอคุณหมอที่นั่นได้อ่านผลทั้งหมดก็นัดผ่าตัดเอาก้อนออกเพื่อนำไปตรวจอีกครั้ง  ซึ่งเป็นเพียงการผ่าตัดเล็ก แค่ฉีดยาชา จำได้ว่าวันที่ผ่าตัดนั้น คุณหมอเอาก้อนที่ผ่าออกมาให้ดู ซึ่งเป็นก้อนเนื้อขนาดเกือบเต็มกระปุกที่ทางโรงพยาบาลนิยมใช้ใส่ปัสสาวะผู้ป่วยไปตรวจ โดยคุณหมอบอกว่า ต้องเอาเนื้อรอบๆ ก้อนออกไปตรวจด้วย ทำให้ก้อนที่ผ่ามีขนาดใหญ่มาก ขณะที่ผิวบริเวณที่ผ่าออกก็มีลักษณะบุ๋มลงไปเลย 

“หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ผลตรวจก้อนที่ผ่าตัดไปก็มาถึง จำได้ว่า ช็อกมาก! ไม่ได้ช็อกเพราะเป็นมะเร็งนะ เนื่องจากเราคิดมาตลอดว่า เราเป็นมะเร็งแน่ๆ แต่ที่ช็อกก็คือคุณหมอบอกว่า อีกหนึ่งสัปดาห์ต้องผ่าตัดใหญ่โดยต้องผ่าตัดออกทั้งเต้า! มันเบลอไปเลย พอสิ้นเสียงคุณหมอบอกว่า ต้องตัดทั้งเต้า! แม้จะถามคุณหมอว่า ผ่าตัดแล้วเสริมสร้างใส่ซิลิโคนเลยได้ไหม ท่านก็บอกว่า ไม่แนะนำ อยากให้รักษาให้หายขาดก่อนค่อยศัลยกรรมทีเดียว”

ชิ่งหนีหมอ…ขอทำใจ

“หลังจากวันนั้น เราหนีไปต่างจังหวัดเลย (หัวเราะ) ด้วยความที่หลังผ่าตัดแผลก็ปริ ต้องไปเย็บแผลถึงสองรอบ และแผลยังไม่ทันหายดี ก็ต้องมารู้ว่าเคสเราต้องมาผ่าตัดยกเต้าอีก มันช็อก! จนไม่รู้จะไปต่อยังไงดี จึงตัดสินใจหนีไปพักรักษาแผลที่ต่างจังหวัดกว่า 1 สัปดาห์ ก่อนจะกลับมาทำงาน และไม่เคยกลับไปหาคุณหมออีกเลยกว่า 3 ปีเต็ม  

“ความรู้สึกตอนนั้น เราเฉยๆ กับคำว่ามะเร็งนะ เป็นมะเร็งก็แค่รักษาไป ไม่ได้เครียดอะไร แต่ที่ทำใจไม่ได้เลยก็คือต้องผ่าตัดทิ้งทั้งเต้า เครียดมาก จึงเป็นที่มาของการหนีการรักษาไปกว่า 3 ปีเต็ม โดยเรากลับมาใช้ชีวิตปกติ ทำงานไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พยายามคิดว่าตัวเองไม่ได้ป่วยหรือต้องกลับไปรักษา แต่ระหว่างนั้นเราก็เริ่มดูแลตัวเองมากขึ้น ทั้งออกกำลังกาย เลือกกินอาหารมากขึ้น ลดเนื้อสัตว์ หันมากินน้ำผัก พร้อมๆ กับมองหาวิธีการรักษาทางอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ทางเลือก ธรรมชาติบำบัด สมุนไพร กัญชา อาหารเสริมต่างๆ นานา ใครมาบอกว่าอะไรดี ที่ไหนเก่ง ไปหมด ลองทุกอย่าง แต่สุดท้ายเราก็พบว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะหลังจากนั้นก้อนก็กลับมาโตอีกครั้งตรงที่เดิมและมีอาการเจ็บร่วมด้วย โดยครั้งนี้เจ็บลึกกว่าครั้งก่อน จึงตัดสินใจกลับไปรักษาแพทย์แผนปัจจุบันอย่างไม่ลังเล”

กลับสู่โลกแห่งความจริง

“การกลับมาครั้งนี้เราปักหมุดหมายไปยังโรงพยาบาลที่มีบริการ PET Scan เป็นอันดับแรก ด้วยความอยากรู้ว่ามะเร็งลุกลามไปถึงส่วนไหนในร่างกายบ้างหรือยัง พอได้รายชื่อโรงพยาบาลที่มีบริการ PET Scan มาแล้ว เราก็มาเลือกที่ที่เราอุ่นใจและเดินทางได้สะดวกที่สุด ซึ่งคำตอบสุดท้ายที่ได้ก็คือโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ 

“จำได้ว่าวันแรกที่ไปโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เราก็บอกกับคุณหมอไปตรงๆ ว่าเราเคยมีประวัติเป็นมะเร็งเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และไม่ได้เข้ารับการรักษา วันนี้จึงอยากมา PET Scan เพราะอยากรู้ว่าระหว่างที่หนีไป 3 ปีนี้ มะเร็งลุกลามไปถึงไหนแล้ว อารมณ์ตอนนั้นเหมือนคนพร้อมตายเต็มที่แล้ว (หัวเราะ)

“หลังคุณหมอสั่งตรวจแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์แล้ว คุณหมอก็แนะนำให้ Bone Scan และ CT Scan ซึ่งจะได้ผลที่ตรงโรคมากกว่า PET Scan ก่อนจะทำการนัดเจาะชิ้นเนื้อเพื่อนำไปตรวจอีกครั้ง ประมาณเดือนตุลาคม 2563 ผลการตรวจทั้งหมดก็ออกมา ซึ่งโชคดีมากที่ไม่พบมะเร็งในจุดอื่นๆ ของร่างกาย นอกจากตรงระหว่างหน้าอกค่อนไปทางขวาที่เดิม นั่นจึงเป็นที่มาที่ทำให้คุณหมอนัดผ่าตัดใหญ่ในเดือนพฤศจิกายน 2563 โดยจะผ่าตัดเต้านมขวา พร้อมเลาะต่อมน้ำเหลืองที่ใต้รักแร้ด้านขวาออกทั้งหมด”

ลุยเดี่ยวเยียวยาตัวเอง

“เรากลายเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมชนิด HER2 Positive ระยะ 2 อย่างเป็นทางการหลังการผ่าตัด และต้องให้เคมีบำบัดทั้งสูตรน้ำขาวและสูตรน้ำแดงต่ออีก 4 ครั้ง ช่วงนั้นก็ต้องทำงานไปและรักษาตัวไปพร้อมๆ กัน ด้วยความที่เราเป็นเจ้าของธุรกิจคนเดียวและใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ คนเดียว ส่วนพ่อแม่และลูกสาวอยู่ที่ต่างจังหวัด ทำให้ต้องดูแลตัวเองตลอดการรักษา จะมีเพื่อนมาเฝ้าก็เฉพาะช่วงที่ผ่าตัด พอกลับมาพักฟื้นอยู่ที่บ้าน 2-3 วัน ก็ต้องลุยเดี่ยว หอบสายเดรนไปนั่งทำงาน หรือหากจะไปล้างแผล หรือคุณหมอนัดถอดสายเดรนก็ต้องขับรถไปเอง (หัวเราะ) 

“ยิ่งตอนคีโมก็ขับรถไป-กลับเองทุกเข็ม จำได้ว่าเข็มแรกหนักสุด ทั้งท้องเสีย อาเจียน เบื่ออาหาร ถ่ายท้องไม่ได้ มาทุกอาการ และเป็นอย่างนั้นอยู่หนึ่งสัปดาห์เต็ม แต่พอเข็ม 2-3-4 เราเริ่มดีขึ้น อาการจะหนักอยู่ 3-4 วันแรก พอวันที่ 5-6 ก็ลุกเดินได้แล้ว โชคดีมากที่อาการข้างเคียงต่างๆ นั้นเป็นอาการที่เรารู้สึกว่ายังรับมือไหว และเราก็พยายามกินอาหารตามที่แพทย์สั่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไข่ขาววันละ 6-8 ฟอง รวมถึงเสริมด้วยอาหารทางการแพทย์ไปด้วย ซึ่งช่วยได้มาก โดยเฉพาะ 3-4 วันแรกหลังจากให้คีโม เราจะอ่อนเพลีย เบื่ออาหารขั้นสุด ก็จะใช้วิธีกินอาหารทางการแพทย์แทนมื้ออาหารไปเลย

“ถามว่ามีท้อไหมระหว่างที่รักษาตัว ก็มีแวบเข้ามาเหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นไม่อยากรักษาต่อ ด้วยความที่ตลอด 3 ปีนั้น เราทดลองมาทุกวิธีแล้ว จนยอมรับแล้วว่าทางนี้แหละดีที่สุดสำหรับเรา ทำให้เราคิดแค่ว่า ทำให้ดีที่สุด เต็มที่ที่สุด และจบให้ไวที่สุด จะได้กลับไปใช้ชีวิตต่อ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราผ่านช่วงเวลาคีโมมาอย่างไม่ยากเย็นนัก หลังจากนั้นราวเดือนพฤษภาคม 2564 ก็เข้าสู่กระบวนการกินยาต้านฮอร์โมนต่ออีก 5 ปี”

เรียนรู้และยอมรับความเปลี่ยนแปลง

“ช่วงแรกของการกินยาต้านฮอร์โมน เหมือนเราตกอยู่ในภาวะวัยทองก่อนกำหนด นอกจากร่างกายที่มีอาการร้อนวูบวาบ ประจำเดือนมาไม่ปกติ นอนหลับยากแล้ว จิตใจก็ตกอยู่ในสภาวะที่หนักหน่วงไม่แพ้กัน บางทีนั่งๆ อยู่ก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาเฉยๆ จนถึงน้ำตาไหลเลยก็มี เรารู้สึกเลยว่า เราอ่อนไหวได้ง่ายกว่าเมื่อก่อน และเราต้องผ่านอาการเหล่านี้ไปให้ได้ 

“โชคดีที่ตอนเด็กๆ เรามีโอกาสได้เรียนในโรงเรียนประจำวิถีพุทธ ชีวิตจึงเติบโตมาในสังคมนักปฏิบัติธรรม ได้รับการอบรมและขัดเกลาจิตใจ รวมถึงวิธีคิดตามแนวทางพุทธศาสนาจนจบมัธยมปลาย นี่เป็นเสมือนวัคซีนทางใจชั้นดีที่ทำให้ไม่ว่าชีวิตจะพบเจอปัญหาอะไรก็ตาม สติของเราไม่หลุด ไม่ดิ่ง ไม่จม เราสามารถจัดการกับความคิดของตัวเองได้ เราก็นำสิ่งเหล่านี้มาใช้เยียวยาตัวเองในช่วงที่ต้องเผชิญกับอาการข้างเคียงของยาและการรักษา จนกระทั่งหลังกินยาต้านฮอร์โมนได้ประมาณ 1 ปี ทุกอย่างก็เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ จิตใจของเราเริ่มนิ่งขึ้น ชีวิตก็ลงตัวมากขึ้น แม้จะยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็เชื่อว่ามันจะดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะช่วงที่เรากลัวสุดๆ ก็ผ่านมาแล้ว ช่วงที่กังวลมากๆ เราก็ทำความเข้าใจและยอมรับมันได้แล้ว ที่เหลือทุกวันนี้ก็แค่อยู่กับปัจจุบัน และทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง 

“วันนี้เราได้เรียนรู้แล้วว่า มะเร็งก็คือส่วนหนึ่งของสัจธรรม เป็นส่วนหนึ่งของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตราบใดที่เรายังหนีการรักษา ไม่ยอมรับความจริง ไม่พยายามจะเข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับมะเร็ง ก็เหมือนเรายอมให้สิ่งนี้ตั้งอยู่กับเราไปเรื่อยๆ แม้ร่างกายจะไม่แสดงอาการใดๆ เลยก็ตาม แต่ก็ไม่มีวันไหนที่เรารู้สึกเบาสบาย ทุกวันคือความหนักอึ้ง ทุกข์ กังวล ฯลฯ ยิ่งเราดึงรั้งเวลาให้ยาวมากเท่าไร ก็เหมือนเราลากความทุกข์ให้ยืดยาวอยู่กับเราไปนานเท่านั้น จนกระทั่งเราตัดสินใจเข้ารับการรักษา เชื่อไหมว่า แม้ข้างหน้าเราจะเห็นถึงอุปสรรคมากมาย แต่แปลกที่ใจเรากลับเบาสบายอย่างบอกไม่ถูก นั่นแหละจึงทำให้เรารู้ว่า หัวใจของการก้าวข้ามมะเร็งที่สำคัญที่สุดก็คือ การทำความเข้าใจและยอมรับให้เร็วที่สุด ยิ่งเราเข้าใจได้เร็วเท่าไร ยอมรับได้เร็วเท่าไร ความทุกข์ของเราก็จะยิ่งสั้นลงเท่านั้น”  

สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นดีเสมอ 

“สิ่งที่อยากจะบอกกับผู้ป่วยทุกคนก็คือ อย่าคิดว่าตัวเองโชคร้าย เพราะทุกประสบการณ์ไม่ว่าดีหรือร้าย ล้วนส่งผลให้เรากลายเป็น ‘เรา’ ในวันนี้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา มุกมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นดีเสมอ ทุกเรื่องราว ทุกเหตุการณ์ ล้วนมีเหตุผลและดีที่สุดสำหรับเราแล้ว เราแค่ทำความเข้าใจ ยอมรับให้ไว และมองหาข้อดีจากเหตุการณ์ต่างๆ ให้ได้ เชื่อเถอะว่า เราจะมองเห็นความโชคดีอีกมากมายในชีวิตเรา 

“ทุกวันนี้มุกขอบคุณพายุทุกลูกที่เข้ามาทำให้ชีวิตเราได้เรียนรู้ ค้นพบ ยอมรับ เข้าใจ และแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เราต้องเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งครั้งนั้นเป็นเหมือนพายุลูกใหญ่ในชีวิต จากผู้หญิงที่ไม่เคยเป็นแม่คน กลับต้องมาเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มันไม่ง่ายเลย แต่ก็นับเป็นภาวะจำยอมที่เราพร้อมน้อมรับด้วยความยินดี เพราะถ้าไม่มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เข้ามาอยู่ในชีวิตเราในวันนั้น เราก็คงไม่เข้มแข็งเหมือนทุกวันนี้

“มุกขอบคุณมะเร็งเสมอที่ยังให้โอกาสเราได้ใช้ชีวิตต่อ ที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ตัวเองโชคดีมากที่แม้จะหนีการรักษาไปกว่า 3 ปี แต่เมื่อกลับมาแล้ว มะเร็งยังอยู่ในระยะที่ควบคุมได้ ยังไม่ลุกลามบานปลายไปที่อวัยวะอื่นๆ มันยิ่งกว่าการถูกแจ็กพอตรางวัลที่หนึ่ง และนี่แหละเป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่ไม่ว่าผลข้างเคียงจากยาจะหนักหนาแค่ไหน เราก็สู้ไม่เคยถอย และนับจากนี้ไปเราก็ตั้งใจไว้แล้วว่า จะขอใช้เวลาทุกวินาทีให้ดีที่สุด ให้คุ้มค่ากับความโชคดีที่ได้รับมา…”

#มะเร็งเต้านมรู้เร็วรักษาเร็วก็หายได้
#เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป
#TBCCLifegoeson
#ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย
แชร์ไปยัง
Scroll to Top