ใครที่กำลังเหนื่อย ท้อแท้ และหมดหวัง กำลังใจถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้เราก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านั้นไปให้ได้ และกำลังใจจากใครก็ไม่สำคัญเท่ากำลังใจจากตัวเราเอง เดือนนี้ TBCC ชวนแฟนๆ มาดู 5 หนังดังในตำนาน ที่นอกจากความสนุกแล้ว ยังช่วยปลุกเร้ากำลังใจ ปรับมุมมอง สร้างแรงบันดาลใจ เชื่อเถอะว่า เมื่อหนังจบลง ไฟที่เคยมอดดับอาจจะลุกโชนจนคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
โก๋เก๋ากับบอสเก๋ไก๋
(The Intern)
วอร์มหัวใจด้วยเรื่องราวอุ่นๆ ของ เบน วิทเทคเกอร์ ชายวัยเก๋าที่เบื่อชีวิตหลังเกษียณ และตัดสินใจไปสมัครเป็น ‘พนักงานฝึกหัด’ ในทีมของ จูลส์ ออสติน ผู้บริหารสาวรุ่นใหม่ไฟแรง เจ้าของธุรกิจจำหน่ายเสื้อผ้าออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จแบบก้าวกระโดดภายใน 18 เดือน แน่นอนว่าความสูงอายุและโลว์เทคของเบน ทำให้จูลล์มองว่าเขาไร้ประโยชน์ และพยายามเลี่ยงที่จะร่วมงานหรือมอบหมายงานสำคัญให้เขาทำ แต่ที่สุดแล้วเธอก็ค้นพบว่า มุมมอง ความคิด และประสบการณ์ของคนวัยเก๋าของเบนนั้นกลับช่วยชีวิตเธอไว้หลายต่อหลายครั้ง
หนังเรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับโดย แนนซี เมเยอร์ส ผู้กำกับหญิงคนดังที่สร้างหนังเบาสมองโดนใจคนทั้งโลกมาแล้วหลายเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้นอกจากกำกับแล้ว เธอยังพ่วงตำแหน่งเขียนบทและโปรดิวเซอร์อีกด้วย นี่นับเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่เหมือนจะดูเพลินๆ แต่ให้ข้อคิดในการใช้ชีวิตหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน มิตรภาพ และความรัก นับเป็นหนังอีกเรื่องที่พูดถึงสมดุลชีวิตได้อย่างน่าสนใจ
ด้วยใจแห่งมิตร พิชิตทุกสิ่ง
(The Intouchables)
หนังฟีลกูดสัญชาติฝรั่งเศสที่สร้างขึ้นจากชีวิตจริงของ ฟิลิปป์ (Philippe Pozzo di Borgo) มหาเศรษฐีนักค้างานศิลปะ ซึ่งประสบอุบัติเหตุจากกีฬากระโดดร่มจนกลายเป็นอัมพาตทั้งตัว จากชีวิตที่สุขสบาย เต็มไปด้วยสีสัน กลับกลายเป็นเหี่ยวเฉาลงทุกวันๆ ท่ามกลางทรัพย์สินเงินทองและคฤหาสน์หลังงามที่เพียบพร้อมไปด้วยคนรับใช้ ดูเหมือนจะไม่มีความหมายใดๆ เลย กระทั่ง ดริสส์ (Abdel Sellou) หนุ่มผิวสีไร้งาน ไร้อนาคต อดีตคนคุก เจ้าของบุคลิกห่ามๆ เข้ามาในฐานะผู้ดูแลข้างกาย ชีวิตของฟิลิปป์ก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
ดริสส์ไม่มีความรู้ใดๆ เลยเกี่ยวกับหลักการดูแลผู้ป่วย แต่เขาใช้ ‘สัญชาตญาณ’ ของความเป็นมนุษย์ปลดปล่อยฟิลิปป์ให้หลุดพ้นจากสภาวะผู้พิการทางกาย ไร้เงื่อนไข ไร้ข้อจำกัดใดๆ ในการใช้ชีวิต แม้กระทั่งเรื่องความรัก ขณะเดียวกันดริสส์ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากฟิลิปป์ ทั้งสองต่างเติมเต็มความหมายของชีวิตที่ขาดหายซึ่งกันและกัน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพที่แสนประทับใจ
นี่คือหนังอีกเรื่องที่ทำให้เรารู้ว่า บางครั้งข้อจำกัดในชีวิตเรานั้นล้วนถูกสร้างขึ้นจาก ‘ใจ’ เราเอง แต่เมื่อไรที่เราหลุดพ้นได้ ก็ไม่มีอะไรขวางกั้นชีวิตเราจากความสุขได้แล้ว…
ชีวิตพิศวงของวอลเตอร์ มิตตี้
(The Secret Life of Walter Mitty)
ภาพยนตร์สัญชาติอเมริกันแนวดรามา ตลก แฟนตาซี ผจญภัย โรแมนติก บอกเล่าเรื่องราวของ วอลเตอร์ มิตตี้ ผู้จัดการแผนกฟิล์มเนกาทีฟของนิตยสาร ‘ไลฟ์’ (Life) หนุ่มใหญ่ที่มีนิสัยเรียบร้อย พูดน้อย ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แถมยังมีปมในวัยเด็ก ทำให้เขาไม่กล้าที่จะก้าวออกจาก ‘comfort zone’ สักที
ความฝันและความกล้าของเขาถูกพรากไปพร้อมๆ กับชีวิตพ่อของเขา มิตตี้กลายเป็นเสาหลักของครอบครัวในวัยเพียง 17 ปี เขามีชีวิตอยู่ท่ามกลางกิจวัตรซ้ำเดิม และวนเวียนอยู่กับความคิดที่ว่า ต้องทำงานเพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว โดยไม่มีโอกาสได้ออกไปใช้ชีวิตนอกกรอบ นั่นทำให้เขามักหลุดเข้าไปในโลกจินตนาการสุดตื่นเต้นของตัวเองอยู่บ่อยครั้ง เพื่อเยียวยาจิตใจจากชีวิตที่จำเจ-จำยอม จึงไม่แปลกที่หนังเรื่องนี้มีฉากที่สะกดสายตาผู้ชมมากมาย
ชีวิตที่ไม่มีอะไรท้าทายของมิตตี้จบลง เมื่อนิตยสารที่เขาทำงานมาเป็นสิบๆ ปีถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ซื้อไปแปรรูปเป็นนิตยสารออนไลน์ และมีนโยบายปรับลดพนักงานที่ไม่จำเป็นออกจากองค์กร แต่นั่นก็ไม่เลวร้ายเท่ากับฟิล์มหมายเลขที่ 25 ฝีมือการถ่ายภาพของ ‘ฌอน’ ช่างภาพชื่อดังอันตรธานหายไป ภาพดังกล่าวจะต้องนำมาใช้เป็นภาพปกนิตยสารฉบับสุดท้าย และนั่นคือความรับผิดชอบของมิตตี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเดินทางออกตามหาฟิล์มหมายเลขที่ 25 ของมิตตี้เริ่มขึ้น และนับจากนั้นชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาล…
หนังฟีลกูดอีกเรื่องที่ไม่ว่าเราจะดูแบบชิลล์ๆ ไม่ได้คิดอะไร หรือจะตั้งอกตั้งใจดูเพื่อหาความหมายที่ซ่อนอยู่ในหนัง สิ่งที่เราจะได้ไปเหมือนกันทุกๆ คนก็คือแรงบันดาลใจที่จะเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ให้กับชีวิต–ไม่เชื่อก็ลองหามาชม…
นางมารสวมปราด้า
(The Devil Wears Prada)
ภาพยนตร์ตลกร้ายสัญชาติอเมริกันอีกเรื่องที่สาวๆ ทั่วโลกต่างเทใจให้ ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ The Devil Wears Prada ผลงานเบสต์เซลเลอร์จากปลายปากกาของ ลอเรน ไวส์เบอร์เกอร์ อดีตผู้ช่วยส่วนตัวของบรรณาธิการนิตยสาร Vogue อเมริกา ซึ่งเปิดเผยเรื่องราวการทำงานในวงการแฟชั่น ชีวิตและปัญหาของคนหนุ่มสาวที่อยู่ในวงการนั้นๆ ตลอดจนมุมมองและแนวคิดอย่างคนใน ซึ่งคนทั่วๆ ไปอาจไม่เคยได้สัมผัส
ถึงแม้จะเป็นคนที่ไม่อินกับวงการแฟชั่น แต่รับรองว่าหนังเรื่องนี้สามารถเรียกเสียงหัวเราะและน้ำตาจากคุณได้ไม่ยากทีเดียว ด้วยฝีมือการแสดงของนักแสดงระดับตัวมัมแห่งวงการฮอลลิวูด ไม่ว่าจะเป็น เมอรีล สตรีป (Meryl Streep) ในบทบาทของ มิแรนดา พรีซลีย์ และ แอนน์ แฮททาเวย์ (Anne Hathaway) ที่มารับบท แอนเดรีย เด็กจบใหม่ที่เข้ามาทำงานเป็นเลขาฯ ให้บรรณาธิการบริหารของนิตยสารชื่อดังระดับโลกอย่าง Runway ผู้หญิงผู้ทรงอิทธิพลในวงการแฟชั่นที่มากความสามารถ และขึ้นชื่อที่สุดเรื่องการเป็นนางมารจอมใจร้าย
เรื่องราวดำเนินไปได้อย่างสนุกสนาน สามารถเรียกทั้งเสียงหัวเราะ และชวนให้เราปาดน้ำตาได้ในเวลาใกล้ๆ กัน ยิ่งสาวๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงของวัยช่างฝันหรือกำลังอ่อนแอ เราไม่อยากให้พลาดหนังเรื่องนี้ด้วยประการทั้งปวง
ชอว์แชงก์ มิตรภาพ ความหวัง ความรุนแรง
(The Shawshank Redemption)
พลาดชมเรื่องไหนก็ได้–แต่ต้องไม่ใช่เรื่องนี้!
นี่คือภาพยนตร์ที่ล้มเหลวเกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นหนังที่ใช้ทุนสร้างไปกว่า 25 ล้านเหรียญฯ และเข้าโรงภาพยนตร์มากกว่า 1,000 โรง ทั่วประเทศ แต่ทันทีที่ออกฉายในสัปดาห์แรก กลับทำรายได้เพียง 2.4 ล้านเหรียญฯ แถมปิดตัวไปด้วยรายได้เพียง 16 ล้านเหรียญฯ เรียกว่าขาดทุนย่อยยับ, เข้าชิงออสการ์ 7 สาขา แต่ก็ไม่ได้รางวัลอะไรติดไม้ติดมือกลับมาเลย เป็นหนังที่ผู้คนมากมายมองว่าเจ๊งแล้ว แต่กลับกลายเป็นหนังที่คนเช่า VDO มาดูมากที่สุด และกลายเป็นหนังที่ถูกพูดถึงในวงกว้าง ก่อนจะถูกจัดให้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Top Rated Movies) อันดับ 1 ตลอดกาลแห่ง The Internet Movie Database หรือ IMDb เว็บไซต์ภาพยนตร์ชื่อดังและคอมมูนิตี้ของคนรักหนังทุกมุมโลก
แม้จะเป็นหนังแนวดรามาที่ดูแล้วสะเทือนอารมณ์อยู่หลายฉาก แต่ตอนจบกลับอิ่มหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เนื้อหาของหนังถูกสร้างจาก Rita Hayworth and Shawshank Redemption เรื่องสั้นของ สตีเฟน คิง นักเขียนชื่อดังชาวอเมริกัน บอกเล่าเรื่องราวชีวิตในคุกเกือบ 2 ทศวรรษ ของ ‘แอนดี้ ดูเฟรนส์’ นายธนาคารหนุ่มอนาคตไกล แต่มีเหตุให้เขาถูกจับในข้อหาฆาตกรรมภรรยาตัวเองและชายชู้ จนถูกพิพากษาให้ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ณ เรือนจำชอว์แชงก์