
ค่าเลือดมะเร็งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Tumor marker ซึ่งเกิดจากมะเร็งผลิตโปรตีนบางอย่างที่สามารถตรวจได้ทางเลือด จึงทำให้เราพบว่าค่าเลือดนี้มีความสัมพันธ์กับมะเร็ง เช่น CEA, CA15-3, CA19-9, CA125, AFP, LDH เป็นต้น แต่ค่าเลือดมะเร็งนี้ไม่ได้มีความจำเพาะเจาะจงในการตรวจมะเร็ง 100 เปอร์เซ็นต์ การตรวจค่าเลือดมะเร็งอย่างเดียวไม่สามารถบอกได้ว่า เราเป็นมะเร็งหรือไม่
สมมติว่าคนคนหนึ่งมีค่าเลือดมะเร็งสูงกว่าค่าเลือดปกตินั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นจะเป็นมะเร็งเสมอไป เพราะจากประสบการณ์ของหมอเอง ผู้ป่วยหลายคนที่ตรวจพบว่ามีค่าเลือด CEA ที่สูงขึ้น แต่เมื่อตรวจติดตามเป็นเวลาหลายปีก็ไม่พบว่ามีมะเร็งเกิดขึ้นในร่างกายแต่อย่างใด สรุปได้ว่า ค่าเลือดมะเร็งนั้นไม่ได้บ่งถึงว่าร่างกายของเรามีมะเร็งเสมอไป
ในทางเดียวกัน บางครั้งคนที่เป็นมะเร็งก็ไม่สามารถตรวจพบค่าเลือดมะเร็งในเลือดได้ ดังนั้น ค่าเลือดมะเร็งจึงไม่มีความจำเพาะเจาะจง คำว่า ไม่มีความจำเพาะเจาะจง หมายถึง บางคนเป็นมะเร็งระยะที่ 4 มีปริมาณมะเร็งกระจายอยู่ตามร่างกายมากมาย แต่ค่าเลือดมะเร็งอยู่ในเกณฑ์ปกติก็มี หรือบางคนค่าเลือดมะเร็งอยู่ในระดับสูง แต่ไม่เป็นมะเร็งก็มี เพราะค่าเลือดมะเร็งไม่ได้จำเพาะกับมะเร็งอย่างใดอย่างหนึ่ง และมะเร็งแต่ละชนิดอาจจะมีหรือไม่มีค่าเลือดมะเร็งก็ได้
ที่สำคัญ ค่าเลือดมะเร็งของบุคคลหนึ่งไม่สามารถเปรียบเทียบกับอีกบุคคลหนึ่งได้ เช่น ฉันมีค่าเลือดมะเร็ง 20 ส่วนเธอมีค่าเลือด 10 ฉันเป็นมะเร็งหนักกว่าเธอ เปรียบเทียบอย่างนี้ไม่ได้ แต่ค่าเลือดมะเร็งนั้นสามารถนำมาเปรียบเทียบในคนคนเดียวได้ เช่น ผู้ป่วยมะเร็งท่านหนึ่งเคยมีค่าเลือดมะเร็ง 100 แล้วหลังทำการรักษา ค่าเลือดมะเร็งลดลงเหลือเพียง 5 นั่นแสดงว่า มะเร็งตอบสนองต่อการรักษาได้ดี แต่ทั้งนี้ก็ต้องยืนยันผลโดยการตรวจสแกนร่วมด้วย
มาถึงบรรทัดนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วทำไมคุณหมอยังตรวจค่าเลือดมะเร็ง? เนื่องจากในบางโรค ค่าเลือดมะเร็งสามารถบอกแนวโน้มการตอบสนองต่อการรักษาได้ หรือค่าเลือดที่ผิดปกตินั้นทำให้คุณหมอส่งตรวจเพื่อหาสาเหตุเพิ่มเติมได้ เช่น หากคนไข้มีประวัติเรื่องของมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้นและรักษาครบแล้ว มักจะมีการตรวจติดตามค่าเลือดมะเร็ง CEA หรือ CA15-3 หากค่าเลือด 2 ตัวนี้ปกติมาโดยตลอด แต่พอมาตรวจติดตามครั้งล่าสุด มีแนวโน้มที่สูงขึ้น คุณหมออาจจะมีการส่งตรวจอัลตราซาวด์และแมมโมแกรม หรือซีที สแกน (CT Scan) เพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุว่ามีสิ่งผิดปกติในร่างกายหรือเปล่า
ดังนั้น ค่าเลือดมะเร็งเหมือนเป็นอีกมุมมองหนึ่งที่คุณหมอเอาไว้ประเมินหรือตรวจติดตามว่า มะเร็งนั้นมีการตอบสนองต่อการรักษาหรือเปล่า หรือมีความผิดปกติในร่างกายหรือเปล่า ทั้งนี้ หมอขอยกตัวอย่างค่าเลือดมะเร็งที่มักตรวจติดตามผลบ่อยๆ ในผู้ป่วยมะเร็งชนิดต่างๆ เช่น
มะเร็งเต้านม มักจะตรวจ CEA, CA15-3
มะเร็งรังไข่ มักจะตรวจ CEA, CA125
มะเร็งตับ มักจะตรวจ AFP (Alpha-fetoprotein)
มะเร็งในช่องท้องและมะเร็งตับอ่อน มักจะตรวจ CEA, CA19-9
มะเร็งต่อมน้ำเหลืองหรือมะเร็งเม็ดเลือดต่างๆ มักจะตรวจ LDH
เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า ในมะเร็งบางชนิดนั้น คุณหมอจะมีการตรวจติดตามค่าเลือดมะเร็ง เพื่อดูแนวโน้มการตอบสนองต่อการรักษา รวมถึงดูแนวโน้มว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตาม ค่าเลือดมะเร็งจะไม่เป็น 0 ในคนปกติจะมีค่าปกติอยู่ในระดับหนึ่ง และค่ามะเร็งแต่ละตัวก็จะมีค่าปกติที่แตกต่างกัน เช่น CEA ค่าปกติเท่ากับ 0-5, CA153 ค่าปกติเท่ากับ 0-35 เป็นต้น
ในกรณีผู้ป่วยมะเร็งระยะที่ 4 และมีค่าเลือดมะเร็งที่สูงขึ้น พอมีการตอบสนองต่อการรักษา ค่าเลือดมะเร็งลดลงอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว แต่ไม่ได้ลดลงเพิ่มเติมก็อาจจะมีความกังวลว่า ยังมีมะเร็งเหลืออยู่ ข้อสันนิษฐานนี้ไม่จริงนะคะ
ยกตัวอย่าง คนที่มีค่าเลือด CEA สูง 300 หลังจากรักษาไปแล้ว ลงมาปกติเรื่อยๆ จนถึงประมาณ 2 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว แต่คนไข้อาจจะมีความกังวลว่า ทำไมไม่ลงมาเป็น 0 ก็อธิบายได้ว่า โดยปกติแล้ว ค่าเลือดมะเร็งจะไม่เป็น 0 ถ้าค่าเลือดมะเร็งอยู่ในเกณฑ์ปกติ นั่นหมายถึงว่า มีการตอบสนองที่ดีและอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องมีค่าเลือดเป็น 0
สรุปได้ว่า การตรวจค่าเลือดมะเร็งไม่ใช่วิธีการเดียวที่จะวินิจฉัยเรื่องของมะเร็งได้ บางคนเจาะเลือดมาแล้วอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ได้หมายความจะไม่มีมะเร็ง เพราะการวินิจฉัยมะเร็งจะต้องดูหลายอย่างประกอบกัน ทั้งเรื่องประวัติร่วมกับการตรวจร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการตรวจค่าเลือดต่างๆ, การตรวจอัลตราซาวด์ หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือซีที สแกน หรือ PET Scan เพื่อที่จะตรวจวินิจฉัย และสุดท้ายต้องมีการเจาะชิ้นเนื้อตรวจ เพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งหรือเปล่า
เช่นเดียวกัน ค่าเลือดมะเร็งเป็นเพียงมุมมองหนึ่งในการตรวจติดตามว่า มะเร็งตอบสนองต่อการรักษาหรือเปล่า เพราะสุดท้ายแล้ว การวัดการตอบสนองต่อการรักษานั้นจะต้องดูจากหลายมุมมอง เช่น ตรวจทางรังสีวินิจฉัย ไม่ว่าจะเป็นเอกซเรย์, ซีที สแกน หรือ PET Scan สำคัญที่สุดคืออาการผู้ป่วยว่า มีอาการผิดปกติหรือเปล่า หลังจากรักษาไปแล้วอาการดีขึ้นหรือเปล่า พูดง่ายๆ คือ ค่าเลือดมะเร็งนั้นเป็นเพียง ‘ผู้ช่วย’ ตัวหนึ่ง ซึ่งจะช่วยคุณหมอในเรื่องของการตรวจติดตาม วินิจฉัย การดูการตอบสนองต่อการรักษา แต่ไม่ใช่ตัวเดียวที่จะวินิจฉัยได้ว่า ผู้ป่วยท่านนั้นเป็นมะเร็งหรือเปล่า หรือมะเร็งตอบสนองต่อการรักษาหรือเปล่า