“มันเหมือนตกกระไดพลอยโจน
โรคมะเร็งที่เข้ามากลายเป็นกระไดที่ดี
ที่ทำให้เราลุกขึ้นมาทำอะไรหลายๆ อย่าง
ให้คุ้มค่ากับเวลาที่เหลืออยู่…”
ใบขวัญ-ชลัณวรรณ อังคมีชัยโสภณ อดีตนักบัญชีที่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำมุ่งมั่นปลุกปั้นธุรกิจออนไลน์ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สำเร็จดังใจหวัง กระทั่งปลายปี 2565 เธอตรวจพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านมระยะ 3 ลุกลามไปต่อมน้ำเหลือง แทนที่ชีวิตจะจมดิ่ง เธอกลับใช้ ‘มะเร็ง’ เป็นพลัง ลุกขึ้นมาอัดคลิปแบ่งปันกำลังใจให้ผู้คนบนโลกออนไลน์ที่กำลังท้อแท้ หมดหวัง ให้ลองหันมาดูผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างให้คีโมอย่างเธอเป็นตัวอย่าง
“ด้วยสถานการณ์โควิด สภาพเศรษฐกิจ และข่าวการสู้รบของประเทศมหาอำนาจ ทำให้เรามองไปทางไหนก็มีแต่คนใจตก มีแต่คลิปดราม่าเต็มโลกโซเชียล ยิ่งดูก็ยิ่งใจตก สลดขึ้นไปอีก นั่นทำให้เราคิดอยากจะแบ่งปันกำลังใจให้กับเพื่อนๆ จึงลองอัดคลิปส่งต่อกำลังใจผ่านโทรศัพท์มือถือ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นหัวก็ยังโล้น (หัวเราะ) เพราะอยู่ระหว่างการให้คีโม จากนั้นก็แชร์ลงในช่อง TikTok เพียงไม่กี่วัน คลิปนั้นกลายเป็นไวรัลที่มีคนสนใจเข้าชมและแชร์ออกไปมากมาย นั่นนับเป็นคลิปแรกที่มีคนเข้ามาชมมากที่สุด ตั้งแต่ทำช่องขึ้นมา
“จากที่เราตั้งใจแบ่งปันกำลังใจให้คนอื่น แต่กลายเป็นว่าเราเองกลับใจฟูขึ้นมาเสียเอง เพราะมีคนส่งข้อความมาไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งขอบคุณบ้าง ขอคำปรึกษาบ้าง และนั่นก็จุดประกายให้เรารู้ว่าคนน่าจะชอบคอนเทนต์แนวนี้ หลังจากนั้นมาช่อง TikTok ที่เดิมทีเราตั้งขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจ ก็กลายมาเป็นช่องทางหลักที่เราใช้แบ่งปันกำลังใจ ตอบคำถาม และส่งต่อประสบการณ์ตรงจากการรักษามะเร็งผ่านคลิปบ้าง ไลฟ์สดบ้าง ส่วนเรื่องธุรกิจก็กลายเป็นเรื่องรองไปโดยปริยาย”
30 บาท รักษามะเร็งได้
“ย้อนหลังกลับไปประมาณเดือนธันวาคม 2565 เรามีอาการปวดรักแร้ด้านซ้ายเรื้อรังมานานเป็นเดือน จึงไปตรวจที่คลินิกใกล้บ้าน คุณหมอก็ให้ยาแก้ปวดมากิน ผ่านไป 7 วัน อาการก็ยังไม่หาย จึงตัดสินใจกลับไปหาคุณหมอที่คลินิกอีกครั้ง หลังจากพูดคุยอาการต่างๆ อย่างละเอียด คุณหมอก็ทำใบส่งตัวให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์บัตร 30 บาท
“พอไปที่โรงพยาบาล ทางคุณหมอที่นั่นก็ส่งตรวจแมมโมแกรม อัลตราซาวนด์ ผลปรากฏว่าไปเจอก้อนเนื้อที่บริเวณใต้หัวนมด้านซ้าย คุณหมอจึงสั่งให้เจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ และนัดกลับมาฟังผลอีก 7 วันถัดมา
“จำได้ว่าในวันนัดฟังผล สีหน้าคุณหมอเคร่งเครียดเป็นกังวลมาก หลังจากแจ้งผลชิ้นเนื้อว่าเป็นมะเร็งแล้ว ท่านก็บอกกับเราตรงๆ ว่า ‘ผมต้องผ่าตัดยกเต้าเลยนะครับ เพราะก้อนอยู่ใต้หัวนมพอดี หลบไปไหนไม่ได้เลย’ ด้วยความที่ไม่อยากให้คุณหมอมาทุกข์เรื่องของเรา จึงพูดติดตลกไปว่า ‘อ๋อ…ผ่าได้เลยค่ะ ลูกไม่ได้กินนมแล้ว’ (หัวเราะ)
“หลังจากพูดคุยเรื่องแผนการรักษาแล้ว ทางคุณหมอก็ทิ้งท้ายว่า ‘ไม่ต้องกังวลนะครับ เดี๋ยวนี้วิวัฒนาการการรักษาทางการแพทย์ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก’ ซึ่งเป็นประโยคที่ทำให้เราคลายความวิตกกังวลไปได้มากทีเดียว แต่อีกเรื่องที่ยังกังวลไม่น้อยไปกว่าตัวโรคก็คือเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา เราก็ถามคุณหมอไปตรงๆ ว่า หากใช้สิทธิ์ 30 บาทนี้ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกไหม คุณหมอก็บอกมาว่า ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย สิทธิ์ 30 บาท ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตอนนั้นเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยก็ว่าได้
“กระทั่งวันที่ 18 มกราคม 2566 ก็เข้าสู่กระบวนการผ่าตัดยกเต้าและเลาะต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ด้านซ้ายออกทั้งหมด ระหว่างที่พักฟื้นแผลหลังผ่าตัด คุณหมอก็ส่งตัวเราไปตรวจสแกนกระดูกและอัลตราซาวนด์หัวใจก่อนจะเข้าสู่กระบวนการเคมีบำบัด เนื่องจากก้อนมะเร็งมีขนาดกว่า 4.1 เซนติเมตร และอยู่ด้านซ้ายซึ่งตรงกับหัวใจพอดี
“จากนั้นก็เข้าสู่การรักษาด้วยคีโมทั้งหมด 8 เข็ม ซึ่ง 4 เข็มแรกจะเป็นสูตรน้ำแดง และ 4 เข็มหลังจะเป็นสูตรน้ำขาว โดยเราเริ่มให้คีโมเข็มแรกในวันที่ 9 มีนาคม 2566 และจบกระบวนการรักษาด้วยคีโมประมาณเดือนสิงหาคม 2566 ก่อนจะฉายแสงต่ออีก 16 แสง ซึ่งฉายแสงครั้งสุดท้ายในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 รวมระยะเวลาในการรักษาทั้งหมดก็ประมาณ 1 ปีเต็ม”
หมอรักษากาย ลูกชายเยียวยาใจ
“หลังจากรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง เพื่อนสนิทคนหนึ่งก็นำอาหารเสริมที่เขาผลิตขึ้นมาให้ทดลองรับประทาน ตอนนั้นเราก็นำอาหารเสริมดังกล่าวไปปรึกษาคุณหมอที่ทำการรักษาเลยว่า เราในฐานะผู้ป่วยมะเร็งกินได้ไหม “คุณหมอดูแล้วก็อนุญาตให้รับประทานได้ 2 ตัว คือ โปรตีนธัญพืชและเบตากลูแคน ตั้งแต่นั้นมาเราก็รับประทานคู่กับมื้ออาหารปกติเรื่อยมา โดยไม่มีการโด๊ปไข่ขาวหรืออาหารใดๆ เป็นพิเศษ
“ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดก็คือ เราสามารถผ่านการรักษามะเร็งเต้านม ระยะ 3 มาอย่างไม่สะบักสะบอมนัก ทั้งที่อายุกว่า 56 ปีแล้ว ที่สำคัญเรายังใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทำงานได้ เที่ยวได้ เชื่อไหมว่าหลังจากคีโมเข็ม 4 เราจะมีช่วงว่าง 21 วัน เราพาลูกชายไปเที่ยวเกาหลีแบบสบายๆ ก่อนจะกลับมาให้คีโมเข็ม 5 ต่อ
“อาการข้างเคียงต่างๆ แทบไม่มีเลย คีโมเข็มที่ 1-4 ที่เป็นสูตรน้ำแดง นอกจากผมร่วง ถ่ายไม่ออก และนอนไม่หลับอยู่ 2 วันแล้ว ก็ไม่มีอาการใดๆ อีกเลย ส่วนคีโมเข็มที่ 5-8 ที่เป็นสูตรน้ำขาวนั้น ก็มีเพียงอาการชาปลายมือ ปลายเท้า และอาการคันอยู่ 1 สัปดาห์แรกเท่านั้น นอกจากนั้นก็ไม่มีอาการใดๆ ส่วนหนึ่งเราเชื่อว่าน่าจะเป็นการที่ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง
“สำคัญยิ่งกว่านั้นน่าจะเป็นเรื่องของ ‘ใจ’ ซึ่งส่วนหนึ่งคงต้องขอบคุณ ‘ลูกชาย’ นี่แหละที่ทำให้เรารู้สึกว่า ยอมแพ้ไม่ได้ แม้ตอนนั้นเขาจะอายุ 19 ปีแล้ว แต่เราก็ยังเป็นห่วงเขาอยู่ ก็พยายามจะดึงตัวเองไม่ให้จมดิ่งหรือท้อถอย พยายามทำตัวปกติ ปล่อยวาง และอยู่ในสภาพแวดล้อมบวกๆ อะไรที่เป็นลบ เราก็แค่เดินหลบทันที”
‘ลูกชาย’ กำลังใจสำคัญ
ไลฟ์สด…ปลดทุกข์
“ด้วยความที่เราไม่มีประวัติคนในครอบครัว หรือคนใกล้ตัวเราที่เป็นมะเร็งมาก่อนเลย ทำให้พอรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งครั้งแรก…ก็กลัวนะ แต่ก็พยายามจะทำความเข้าใจว่า ความกลัวมันเกิดจากจิตเราเอง และจิตมนุษย์นี้ก็จะมีความเคลื่อนไหวต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เข้ามากระทบเราเป็นธรรมดา พอรู้อย่างนั้นเราก็พยายามดึงจิตเราไม่ให้จมดิ่ง
“สิ่งหนึ่งที่ช่วยเราได้ก็คือการไลฟ์สดนี่แหละ เชื่อไหมว่าการไลฟ์สดทำให้เราได้เห็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง คือ เราไม่ได้ทุกข์อยู่คนเดียว แต่มีคนอีกมากมายที่ทุกข์เหมือนเรา บางคนทุกข์หนักกว่าเราอีก เพราะทุกครั้งที่เราไลฟ์สด จะมีพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ เข้ามาพูดคุย เล่าความทุกข์เศร้าให้เราฟัง บ้างก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และยิ่งเราแบ่งปันกำลังใจไปมากเท่าไร เราก็ยิ่งได้รับสิ่งดีๆ กลับมามากเท่านั้น นั่นเองที่ทำให้หนึ่งปีในการรักษามะเร็งนี่ไม่ได้แย่อย่างที่คิดเลย เรามีสังคมพี่ๆ น้องๆ ที่น่ารัก และมีลูกสาวเต็มโซเชียลเลยนะ เพราะใครมาดูช่องนี้ ก็มักจะเรียกเราว่า ‘แม่’ กันทั้งนั้น (หัวเราะ)”
มะเร็งสอนให้รู้ว่า…
“มะเร็งทำให้เราได้ชีวิตที่ไม่เคยเจอมาก่อนเลยใน 56 ปีที่ผ่านมา เราได้รู้จักการปล่อยวาง เราได้รู้จักชีวิตที่มีความสุข เราได้รู้ว่าเวลา…มันมีค่าจริงๆ ฯลฯ ประโยคเหล่านี้หลายคนคงเคยผ่านหูผ่านตามาทั้งชีวิต เราเองก็เช่นกัน แต่เชื่อไหมว่าเรามารู้ซึ้งถึงหัวใจจริงๆ ก็เมื่อวันที่มะเร็งเข้ามา
“เมื่อก่อนความสุขของเรามักจะผูกติดอยู่กับวัตถุหรือผู้คน เราวิ่งหาวัตถุเพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเอง เรามักจะรอความสุขจากคนอื่นที่เราพยายามให้ความสุขเขา และคาดหวังว่าเขาจะส่งความสุขกลับมาให้เรา แต่วันนี้ไม่ใช่อีกแล้ว หลังจากมะเร็งเข้ามา ความสุขของเราเป็นความสุขที่เริ่มจากตัวเราเอง เริ่มจากการกลับมารักตัวเองและเห็นคุณค่าในตัวเอง
“วิถีชีวิตทุกวันนี้แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ข้างในเรากลับมีความสุขมากขึ้น เพราะมะเร็งทำให้เรามองเห็นสิ่งรอบตัวอีกแบบ เรารู้ว่าอะไรคือความสุขที่แท้จริง อะไรคือสิ่งที่มีค่าสำหรับชีวิตเรา สมัยก่อนเราไม่รู้จักหรอกนะ ความสุขเล็กๆ ไม่รู้จักความซาบซึ้งใจ ไม่รู้จักขอบคุณ เคยได้ยิน แต่ไม่เข้าใจจริงๆ
“แต่ตอนนี้ เรารู้แล้วว่า เมื่อใดก็ตามที่เราขอบคุณในสิ่งเล็กๆ เช่น ขอบคุณร่างกายเราที่ยังทำอะไรด้วยตัวเองได้, ขอบคุณร่างกายเราที่ไม่ทำให้เราตกอยู่ในภาวะของผู้เบียดเบียนคนอื่นหรือเป็นภาระให้ใคร ฯลฯ แค่นี้ก็มีความสุขที่สุดแล้ว”
ฝากถึงเพื่อนร่วมโรค
“มะเร็งสำหรับเราในวันนี้ไม่ต่างอะไรกับไข้หวัด เพราะปัจจุบันนี้วิวัฒนาการทางการแพทย์ก้าวหน้าไปไกลมาก มะเร็งรู้แล้ว…รักษาได้ แค่อย่าไปให้พลังเขา อย่าไปให้ค่าเขา ถ้าเมื่อไรที่เราให้ค่าเขา เขาก็จะกลับมาฆ่าเรา ฉะนั้น เป็นมะเร็งแล้วก็แค่รักษาไป เจอปัญหาอะไรก็ให้คิดเสียว่า ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรถาวร ปัญหาต่างๆ ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเงิน การงาน หรือแม้แต่ปัญหาสุขภาพ ทุกสิ่งทุกอย่างมาแล้ว เดี๋ยวก็ไป ชีวิตเราก็เช่นกัน มาแล้ว เดี๋ยวก็ต้องไป และทุกคนก็ต้องไปกันหมด ฉะนั้น ใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่ากันดีกว่า อย่ามัวแต่กลัว อย่ามัวแต่อาย แล้วปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ค่า ลุกขึ้นมาทำสิ่งที่อยากทำในวันที่เรายังทำได้กันเถอะ
“ผู้ป่วยมะเร็งหลายคนอายที่จะบอกว่าตัวเองเป็นมะเร็ง บางคนไม่กล้าแม้แต่จะออกจากบ้านไปเจอเพื่อน ไปเจอสังคม เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองป่วย อายที่ไม่มีผม กลัวการถูกมองว่าแตกต่าง แปลกแยก ส่วนหนึ่งเราก็ต้องยอมรับว่ามีคนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยที่มักมองผู้ป่วยมะเร็งด้วยสายตาที่แปลกแยก แตกต่าง เหมือนเราไม่ปกติ เราก็อยากจะบอกกับพวกเขาเหล่านั้นเหลือเกินว่า ‘คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่า คุณจะไม่ป่วยเป็นมะเร็งในสักวันหนึ่งข้างหน้า’ เพราะทุกคนก็ล้วนมีเชื้อมะเร็งอยู่ในตัว แค่วันนี้มันยังไม่ตื่นเท่านั้นเอง ฉะนั้น อย่าประมาท หรือเอาแต่ปิดใจ ทำร้ายผู้ป่วยทางสายตากันอยู่เลย…”