ชะบา ครี : ‘มะเร็ง’ บันดาลใจ

.
“คุณไม่ต้องกลับมาหาหมอที่นี่อีกแล้วนะ 
ถ้าเราจะเจอกัน ขอให้ไปเจอกันที่ไหนก็ได้
ที่ไม่ใช่ที่โรงพยาบาล…” 

นั่นเป็นคำล่ำลาที่คุณหมอเอ่ยกับ อ้อ-ชะบา ครี ในวันสิ้นสุดกระบวนการรักษามะเร็งเต้านมเมื่อปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ย้อนหลังกลับไป 9 เดือนก่อนหน้านั้น นอกจากบทบาทของการเป็นคุณแม่ลูกสองแล้ว เธอยังดำรงตำแหน่งผู้ช่วยพยาบาลในแผนกการฟื้นฟูสภาพร่างกายหลังการผ่าตัดของโรงพยาบาล Stockholm Sjukhem ณ เมืองสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน 

หลังติดตามคุณแม่มาใช้ชีวิตในต่างแดนตั้งแต่อายุ 15 ปี และเธอใฝ่ฝันมาตลอดว่าอยากจะกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย กระทั่งอายุได้ 18 ปี เธอจึงตัดสินใจบินกลับมาเมืองไทย มุ่งมั่นว่าจะกลับมาตั้งรกรากในแผ่นดินเกิดอย่างถาวร แต่เพียงไม่ถึง 3 ปี เธอก็พบว่าชีวิตในเมืองไทยสำหรับเธอนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ด้วยเศรษฐกิจบวกกับวุฒิการศึกษาที่ไม่สูงนักทำให้การหางานเป็นเรื่องยาก ชีวิตที่เมืองไทยจึงไม่ค่อยราบรื่นอย่างที่คิดไว้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอจึงตัดสินใจกลับไปสวีเดนอีกครั้ง โดยพับแผนการกลับมาใช้ชีวิตในเมืองไทยเป็นการถาวร จากนั้นเธอก็มุ่งมั่นศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษาด้านผู้ช่วยพยาบาล ซึ่งเป็นสาขาวิชาที่กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากทั้งในโรงพยาบาลของรัฐบาลและเอกชน     

ตลอด 13 ปีที่ผ่านมา เธอทำงานเป็นผู้ช่วยพยาบาลไปพร้อมๆ กับการสร้างครอบครัวเล็กๆ กับสามีคนไทยที่ไปเติบโตที่นั่นเช่นกัน กระทั่งในปี 2565 เธอได้ให้กำเนิดลูกคนที่สองได้เพียง 2 ปี 1 เดือน เธอก็พบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านมอย่างไม่ทันตั้งตัว

เมื่อผู้ช่วยพยาบาลกลายเป็นผู้ป่วย

“ราวปลายเดือนมิถุนายน 2565 เราพบก้อนที่ใต้รักแร้ด้านซ้าย แม้ไม่มีอาการเจ็บใดๆ เลย แต่ก็ไม่รีรอ รีบไปพบแพทย์ประจำตัวที่สถานีอนามัยตามสิทธิ์การรักษา พอคุณหมอทำการตรวจโดยการคลำที่ก้อนและวินิจฉัยว่าอาจจะเกิดจากอาการบวมเท่านั้น จึงบอกเราว่า “ไม่ต้องกังวลนะ แค่บวม หลังจากนี้ 4-6 สัปดาห์ เดี๋ยวอาการก็จะดีขึ้น” ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นอะไรร้ายแรง จึงกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ กระทั่งเดือนพฤศจิกายนในปีเดียวกันนั้นเอง เรากลับพบว่ามีก้อนที่เต้านมข้างซ้าย พอรู้ตัวก็รีบไปหาคุณหมอท่านเดิม 

“คุณหมอก็ทำการตรวจโดยการคลำเหมือนเดิม และบอกกับเราว่า “ไม่น่าจะเป็นอะไรนะ” แต่ตอนนั้นด้วยความกังวลใจ จึงขอให้คุณหมอช่วยทำเรื่องส่งตรวจอย่างละเอียด ซึ่งคุณหมอก็ยินยอม แต่แจ้งว่าอาจจะต้องรอหน่อยเพราะเป็นเคสที่ไม่ฉุกเฉิน 

“เวลาผ่านไปราว 2 สัปดาห์ ทางคลินิกเฉพาะทางก็โทรมานัดหมายให้เราไปตรวจแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ กระทั่งผลตรวจออกมา คุณหมอก็เรียกเราเข้าไปคุยและบอกว่า “ก้อนมันไม่สวยเลยนะ มีหินปูนเกาะเยอะมาก เดี๋ยวหมอจะเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ” จากนั้นหมอก็ทำการเจาะชิ้นเนื้อทั้งใต้รักแร้และเต้านมด้านซ้ายไปตรวจในวันนั้นเลย 

“แม้จะตกใจอยู่บ้างที่คุณหมอแนะนำให้เจาะชิ้นเนื้อแบบเร่งด่วน แต่ก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่า อาจจะเป็นถุงน้ำหรือเนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็งก็ได้ พอเจาะชิ้นเนื้อเสร็จ คุณหมอก็ให้กลับบ้านมารอจดหมายจากศัลยแพทย์ ซึ่งจะส่งมานัดหมายฟังผลในอีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมา ระหว่างนั้นเราก็ใช้ชีวิตปกติแบบไม่มีความกังวลใดๆ เลย กระทั่งถึงวันนัดฟังผล…”

ความจริงที่ต้องยอมรับ

“ที่ผ่านมาเราดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป คือ ไม่ได้รักสุขภาพถึงขั้นต้องเข้ายิมเป็นประจำ หรือกินอาหารสุขภาพตลอดเวลา ช่วงวัยรุ่นก็มีเที่ยวบ้าง ดื่มบ้าง  กินปิ้งย่าง ฟาสต์ฟู้ดบ้าง แต่ทุกอย่างก็ลดลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น และด้วยความที่ในครอบครัวก็ไม่มีใครเคยเป็นมะเร็งเลย ยิ่งทำให้เราคิดว่ามะเร็งเป็นเรื่องไกลตัวเรามาก

“สำคัญกว่านั้นที่นี่ไม่ได้สนับสนุนให้ประชาชนตรวจสุขภาพประจำปีก่อนอายุ 40 ปี คือ หากไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ก็ยากที่จะขอเข้ารับการตรวจคัดกรอง จะมีบ้างที่ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกตอนอายุ 30 ปี ซึ่งจะมีจดหมายมาเรียกตัวให้เข้ารับการตรวจถึงบ้าน แต่สำหรับมะเร็งเต้านมนั้นต้องรอให้อายุ 40 ปีเต็ม จึงมีสิทธิ์ที่จะเข้ารับการตรวจคัดกรองตามสิทธิ์ นั่นเองทำให้เราไม่ได้ระแวดระวังตัวเองเลย

“หลังจากจดหมายแจ้งวันนัดฟังผลในวันที่ 2 ธันวาคม 2565 เราก็ไปตามนัดหมาย โดยคำถามแรกที่คุณหมอเอ่ยขึ้นก็คือ “7 วันที่ผ่านมา…ใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง” ซึ่งตอนนั้นเราเองก็ไม่ได้ฉุกคิดอะไร ได้แต่ตอบคุณหมอไปตามตรงว่า ก็ใช้ชีวิตตามปกติ ทำงาน เลี้ยงลูก ฯลฯ พูดจบคุณหมอก็หันมาสบตาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า

“ผลตรวจออกมาว่า
คุณกำลังเป็นมะเร็งนะ”

“สิ้นเสียงคุณหมอปุ๊บ เราก็ปล่อยโฮต่อหน้าคุณหมอทันที ความรู้สึกดิ่งจนควบคุมตัวเองไม่ได้ พยาบาลที่ยืนอยู่ในห้องก็เดินเข้ามากอดพร้อมกับบอกกับเราว่า “ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” น้ำเสียงที่อ่อนโยนนั้นเหมือนดึงสติเราให้กลับมา ก่อนจะถามคุณหมอไปตรงๆ ว่า “ฉันจะตายไหม…”

“คุณหมอได้ยินคำถาม ก็หันมาจ้องตาและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ไม่! คุณจะไม่ตาย…เราจะไม่พูดเรื่องตายกันนะ แต่เราจะพูดกันเรื่องการรักษาต่อจากนี้” เสียงคุณหมอดังก้องอยู่ในหัว ความรู้สึกจากที่ดิ่งอยู่ก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ บอกกับตัวเองซ้ำๆ ว่า ฉันจะไม่ตาย ฉันจะมีชีวิตรอด…

“หลังจากนั้นคุณหมอก็ส่งเราตรวจทุกอย่างแบบเร่งด่วนที่สุด โดยคุณหมอบอกว่า “เรารอไม่ได้แล้ว” นั่นเองที่ทำให้เราต้องเข้ารับการตรวจทั้ง CT scan ช่องท้อง, MRI scan ทั้งตัว และ Bone scan เพื่อดูว่ามะเร็งได้ลุกลามไปที่อื่นหรือยัง โดยทุกอย่างเสร็จสิ้นภายใน 13 วัน ก่อนจะถูกส่งตัวต่อไปยังแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งโดยเฉพาะและเริ่มวางแผนการรักษา”

ลุกขึ้นสู้

“ด้วยความที่ผลตรวจทุกอย่างชี้ชัดว่าเราเป็นมะเร็งเต้านมชนิด Triple negative (TNBC) ระยะ 2b ซึ่งเป็นชนิดที่แพร่กระจายเร็ว คุณหมอจึงเสนอให้เข้าสู่กระบวนการเคมีบำบัด 16 เข็ม เป็นอันดับแรก โดยแบ่งเป็นสูตรน้ำขาว 12 เข็ม ทุกสัปดาห์ และสูตรน้ำแดง 4 เข็ม ทุก 3 สัปดาห์ เพื่อหวังให้ก้อนที่ใต้รักแร้ขนาด 1.5 ซม. และก้อนที่เต้านมด้านซ้าย 2 ก้อน ขนาด 2.2 และ 0.8 ซม. ยุบลงก่อน จึงค่อยเข้าสู่กระบวนการผ่าตัดเอาก้อนเนื้อออก 

“เพราะเป้าหมายของคุณหมอคือไม่ต้องการตัดทิ้งทั้งเต้านม ด้วยเห็นว่าเรายังอายุไม่มาก จึงอยากผ่าตัดเอาเพียงก้อนมะเร็งออกเท่านั้น เพื่อคงไว้ซึ่งคุณภาพชีวิตหลังการรักษา และหลังการผ่าตัดจึงจะเข้าสู่กระบวนการฉายแสง 15 แสง ก็เป็นอันเสร็จสิ้นการรักษา

“แต่โชคดีมากที่คุณหมอยื่นข้อเสนอให้ใช้ ‘ยาภูมิคุ้มกันบำบัด’ ควบคู่ไปกับการให้คีโมทุก 3 สัปดาห์ จำนวน 9 เข็ม กระทั่งสิ้นสุดการฉายแสง ก็ปรับมาให้ทุกๆ 6 สัปดาห์ ต่ออีก 4 เข็ม รวมทั้งหมด 13 เข็ม  ซึ่งกระบวนการก็ไม่ต่างกับการให้คีโม เพียงแต่ไม่มีผลข้างเคียง เพื่อลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำลงและเพิ่มโอกาสที่จะหายขาดได้กว่า 15 เปอร์เซ็นต์ แม้ตอนนั้นจะยังไม่รู้จักภูมิคุ้มกันบำบัดเท่าไร แต่ด้วยความที่อยากหายขาด เราจึงตอบตกลงกับคุณหมอไปแทบจะทันทีทันใด”

คีโม…ด่านหิน

“ยอมรับว่ากลัวที่สุดก็คือการให้คีโมนี่แหละ เพราะช่วงที่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เราหาข้อมูลหนักมาก ทั้งเสิร์ชหาข้อมูล คุยกับผู้รู้ และเข้าไปอ่านประสบการณ์ในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งต่างๆ พอยิ่งรู้ ก็ยิ่งคิดมาก และจากที่มีกำลังใจดีๆ ก็เปลี่ยนมาถามตัวเองแล้วว่า จะรอดไหม (หัวเราะ) แต่โชคดีที่ยังมีกำลังใจจากคนแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว คุณหมอ พยาบาล รวมถึงระบบสาธารณสุขของสวีเดนที่ครอบคลุมทุกอย่าง นอกจากการเข้าถึงการรักษา ยา และเวชภัณฑ์ต่างๆ แล้ว ผู้ป่วยมะเร็งที่มีอาการผมร่วงจากคีโมยังได้รับงบประมาณในการจัดซื้อวิกมาใส่ระหว่างรักษาตัว นั่นถือเป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่ทำให้ผู้ป่วยอย่างเรารู้สึกว่า การต่อสู้ครั้งนี้ เราไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง…

“หลังวางแผนการรักษาเสร็จก็เข้าสู่กระบวนการให้คีโมสูตรน้ำขาว ซึ่งเข็ม 1-2 ก็ผ่านไปได้ด้วยดี มาหยุดชะงักหลังให้เข็มที่ 3 เพราะมีอาการผื่นแดงขึ้นเต็มตัว ปากบวม แต่ยังโชคดีที่ไม่มีอาการคันหรือแสบใดๆ เลย ตอนนั้นคุณหมอก็สั่งพักทั้งคีโมและภูมิคุ้มกันบำบัดทันที และพยายามตรวจหาสาเหตุ โดยเจาะชิ้นเนื้อที่ผิวหนังส่งตรวจ เพื่อเช็กว่าเป็นมะเร็งผิวหนังหรือไม่ หรือแพ้ตัวยาใดกันแน่ ใช้เวลาเกือบสองสัปดาห์ก็ได้คำตอบว่า เราแพ้ยาตัวหนึ่งในคีโม 

“พอคุณหมอรู้แล้วก็เปลี่ยนตัวยาให้ใหม่ คีโมเข็มต่อๆ มาจึงผ่านฉลุย แม้จะมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นอาการพะอืดพะอม ปากไม่รับรส เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ฯลฯ ซึ่งจะเป็นมาตลอดการรักษา แต่ก็ยังอยู่ในระยะที่รับมือได้ จนมาถึงสูตรน้ำแดงนี่แหละ หนักมาก เรียกว่านอนเป็นผักอยู่บนเตียง ทุกครั้งที่ให้คีโมกลับมาแทบทำอะไรไม่ได้เลยเป็นสัปดาห์ แต่สุดท้ายก็ผ่านมาจนได้ โดยเทคนิคเดียวที่เราใช้ตอนนั้นก็คือพยายามกิน กิน และกินทุกอย่าง เพื่อให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงให้ได้  

“ส่วนงานก็พักยาว เพราะระบบประกันสังคมของที่นี่ หากคุณป่วยเป็นโรคที่ต้องใช้เวลาในการรักษา คุณหมอจะเขียนใบอนุญาตให้สามารถลาป่วยได้ 100 เปอร์เซ็นต์ จนกว่าจะจบการรักษาและมีการประเมินว่าร่างกายแข็งแรงเป็นปกติแล้ว จึงจะเริ่มกลับไปทำงานได้ โดยจะค่อยๆ เริ่มทำงานจาก 25 เปอร์เซ็นต์ จากนั้นจึงเพิ่มขึ้นเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ และเป็น 75 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ จนกระทั่งร่างกายและจิตใจแข็งแรงเต็มร้อยแล้ว ทางแพทย์จึงอนุญาตให้กลับไปทำงานตามปกติ”

ผื่นแดงจากอาการแพ้คีโม
เจาะชิ้นเนื้อตรวจ

ยาใจสำคัญ

“นอกจากร่างกายแล้ว ทางรัฐบาลสวีเดนก็จะให้ความสำคัญกับเรื่องสภาพจิตใจของผู้ป่วยเป็นสำคัญ เพราะเขาเชื่อว่าช่วงเวลาแห่งการรักษานั้นเป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสสำหรับผู้ป่วยทุกคน นั่นเองจึงเป็นเหตุผลให้ระหว่างที่เราพักรักษาตัวนี้ นอกจากค่ารักษา ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ รวมถึงค่าจิปาถะ เช่น วิกผม ฯลฯ ทางรัฐบาลก็จะมีเงินสวัสดิการสำหรับผู้ป่วยจ่ายให้เราทุกเดือนจนกว่าจะกลับมาทำงานได้ปกติ 

“จะมีค่าใช้จ่ายอย่างเดียวเลยก็คือค่าบำรุงรักษาโรงพยาบาล 250 โครนาสวีเดน (svensk krona) หรือราว 800 บาทไทยต่อครั้ง แต่ไม่เกิน 2,600 โครนาสวีเดน หรือเกือบ 8,500 บาทไทย หลังจากนั้นก็ฟรีตลอดการรักษา โดยทางโรงพยาบาลจะสอบถามเราก่อนว่า สามารถจ่ายได้ไหม ถ้าจ่ายไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สามารถทำเรื่องขอยกเว้นได้

“การบริการต่างๆ เหล่านี้ก็มาจากเงินภาษี 30 เปอร์เซ็นต์ ที่หักจากเงินเดือนของเราทุกๆ เดือนนั่นแหละ ซึ่งเขาก็จะดูแลให้หมด ทั้งตัวเราและลูกๆ ที่มีสิทธิ์เรียนฟรี แม้แต่ที่ยังไม่สามารถเข้าโรงเรียนได้ ก็มีเนิร์สเซอรี่ไว้บริการสำหรับเด็กเล็กตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป ที่พ่อแม่ต้องทำงาน นั่นทำให้ช่วงที่ป่วยนั้นเราจึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล เพราะลูกชายคนเล็ก ทางเนิร์สเซอรี่ก็จะช่วยดูแลในช่วงกลางวันให้ ส่วนลูกสาวคนโตก็สามารถดูแลตัวเองได้บ้างแล้ว 

“นอกจากนี้ ก็ยังมีครอบครัวที่คอยซัปพอร์ตอยู่ไม่ห่าง ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ คุณพ่อบุญธรรมชาวสวีเดน น้องสาวต่างพ่อวัย 18 ปี รวมถึงญาติๆ ทางฝั่งสามี ซึ่งทุกคนพร้อมใจมาช่วยเหลือตลอด เช่น ช่วงเช้าหลังจากสามีแต่งตัวและป้อนข้าวให้ลูกชายแล้ว ทางคุณพ่อบุญธรรมก็จะพาไปส่งที่เนิร์สเซอรี่ให้ พอตอนเย็นคุณแม่ก็ไปรับหลานกลับมา จากนั้นก็จะทำกับข้าวให้กิน ดูแลจนสามีกลับมาจากทำงาน และบางทีน้องสาวก็จะช่วยดูแลให้อีกแรง ขณะที่พี่สาวของสามี ถ้าวันไหนไม่ได้ทำงานก็จะคอยมาช่วยดูแลหลานให้อีกคน เรียกว่าครอบครัวพร้อมช่วยเหลือเราที่สุด นี่เป็นอีกหนึ่งกำลังใจเล็กๆ ที่หล่อเลี้ยงจิตใจเรา

“สำคัญที่สุดเลยก็คือลูกๆ ที่เป็นเหมือนกำลังใจสำคัญ ทำให้เราไม่เคยท้อกับโรคที่เป็นอยู่และก้าวผ่านมาได้ในที่สุด เราจะคิดอยู่เสมอว่า เราตายไม่ได้ ถ้าเราตายวันนี้ ลูกๆ จะอยู่กันอย่างไร  จะหากินกันอย่างไร จะเติบโตกันอย่างไร มันทำให้เราต้องสู้สุดหัวใจที่จะผ่านมะเร็งไปให้ได้ และมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อได้เห็นลูกๆ เติบโต มีความสุขและสำเร็จในแบบที่เขาต้องการ”  

‘มะเร็ง’ คอร์สสอนชีวิต

“เราขอบคุณมะเร็งเสมอที่เข้ามาเปลี่ยนเราให้เป็นคนใหม่ ได้ชีวิตใหม่ เพราะเมื่อมะเร็งเข้ามา เราหันกลับไปมองชีวิตที่ผ่านมาว่า เราพลาดอะไรไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยโทษตัวเอง เราแค่ยอมรับในสิ่งที่ผิดพลาด เรียนรู้ และนำมาปรับเปลี่ยนวิถีเสียใหม่ เพื่อให้ชีวิตนับจากนี้ดีขึ้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นอดีตผู้ป่วยมะเร็งที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น และไม่กลับมาเป็นซ้ำอีกครั้ง

“สำหรับเรา ‘มะเร็ง’ ก็ไม่ต่างกับคอร์สสอนชีวิต เพราะ 9 เดือนที่ผ่านมา นอกจากการรักษาตัวแล้วก็เหมือนเราได้เข้าคอร์สที่ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรมากมาย บางช่วงมันอาจจะยากหน่อย แต่เชื่อเถอะว่า ใครก็ตามที่ผ่านคอร์สนี้ไปได้ รับรองว่าจะแข็งแกร่งขึ้นและมีชีวิตที่สดใสขึ้นแน่นอน 

“ไม่ใช่ว่าเราจะไม่กลัวมะเร็งแล้วนะ ขึ้นชื่อว่ามะเร็งแล้ว อย่างไรก็ยังน่ากลัว ถึงเราจะเคยผ่านมะเร็งมาได้แล้วก็ตาม แต่เราก็ยังรู้สึกกลัว เพราะมันสามารถกลับมาหาเราได้ทุกเมื่อ ทำให้บ่อยครั้งมันเกิดคำถามว่า ถ้ามะเร็งกลับมา…เราจะทำอย่างไร คำตอบที่ให้กับตัวเองก็คือรักษาให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะเราเชื่อว่าการแพทย์พัฒนาไปทุกวัน และที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่า มะเร็งรักษาได้”

เป้าหมายของชีวิต

“ทุกวันนี้เราพยายามเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีสติและมีความสุขกับเรื่องง่ายๆ เพราะเรารู้ซึ้งแล้วว่าเวลาที่มีอยู่นี้มันมีค่ามากแค่ไหน การที่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาได้เห็นหน้าลูกๆ ในทุกเช้านั้นมีความสุขเพียงใด มะเร็งทำให้เรามองเห็นชีวิตในมุมที่ต่างออกไป เราจึงเฝ้าบอกตัวเองเสมอว่า อยากทำอะไร ทำเลย ไม่ต้องรออะไรแล้ว! เราพยายามทำทุกวันให้เหมือนวันสุดท้ายที่เราอยู่บนโลกใบนี้ อะไรที่ทำแล้วมีความสุข ไม่เดือดร้อนคนอื่น ทำเลย อย่ามัวรอ 

“นอกจากการดูแลตัวเองให้แข็งแรง ซึ่งเป็นเหมือนภารกิจชีวิตที่ตั้งใจไว้ สิ่งหนึ่งที่เราอยากทำต่อจากนี้ก็คือการกลับไปศึกษาต่อในหลักสูตร ‘พยาบาล’ เพราะเราอยากกลับมาดูแล เยียวยา และส่งต่อกำลังใจ รวมถึงแบ่งปันประสบการณ์ตรงที่ผ่านมาให้กับผู้ป่วยมะเร็งโดยเฉพาะ

“อย่างที่รู้กันดีกว่า การรักษาโรคมะเร็งนั้นเป็นเรื่องหนักหน่วงสำหรับผู้ป่วย เรายังจำวันที่แพ้คีโมได้ดี วันนั้นยอมรับเลยว่าท้อ แต่สิ่งที่คุณหมอพูดกับเราก็คือ ‘คุณต้องสู้ไปกับหมอ หมอสู้อยู่คนเดียวไม่ได้ ถ้าเราไม่สู้ไปด้วยกัน ก็ไม่มีวันสำเร็จ‘ 

“วันนั้นเราไม่ได้มองคุณหมอว่าเป็นเพียงผู้บำบัดรักษาเราอีกต่อไป แต่เขาเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนพี่ เหมือนคนในครอบครัว ซึ่งมันทำให้เรารู้สึกว่าการต่อสู้ครั้งนี้เราไม่ได้สู้เพียงลำพัง และเราอยากส่งต่อความรู้สึกนี้ให้ผู้ป่วยมะเร็งทุกคน เราอยากเป็นคนที่ช่วยให้พวกเขาผ่านทุกช่วงการรักษาที่ยากๆ ไปให้ได้ และเรามั่นใจว่าเราทำได้ เพราะเราเข้าใจหัวใจของผู้ป่วยมะเร็งดี – นี่คือเป้าหมายชีวิตหลังจากนี้…

#มะเร็งเต้านมรู้เร็วรักษาเร็วก็หายได้
#เพราะชีวิตต้องเดินต่อไป
#TBCCLifegoeson
#ชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย

กลับมาทำงานวันแรก
แชร์ไปยัง
Scroll to Top